ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ชูวิทย์ ลั่น "ผมเลือกความสุขในวาระสุดท้าย" ลูกหลานไม่ต้องสิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย

ชูวิทย์ ลั่น "ผมเลือกความสุขในวาระสุดท้าย" ลูกหลานไม่ต้องสิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย Thumb HealthServ.net
ชูวิทย์ ลั่น "ผมเลือกความสุขในวาระสุดท้าย" ลูกหลานไม่ต้องสิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย ThumbMobile HealthServ.net

4 สิงหาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวยอมรับอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกว่า ตนป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ มีเวลาเหลืออีกเพียง 8 เดือนมากสุด ลั่นแนวทางที่ตนเองเลือกในวาระสุดท้าย "ผมเลือกความสุขในวาระสุดท้าย" ลูกหลานไม่ต้องสิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์ หลังจากยื่นเอกสารต่ออธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ว่ามีพฤติการณ์ในการหลบเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่ากว่า 521 ล้านบาทหรือไม่ หลังจากเปิดแถลงข่าวกรณีไปเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566
 
เป็นครั้งแรกที่ นายชูวิทย์ กล่าวถึงอาการป่วยมะเร็งของตนเองอย่างชัดเจน ต่อสาธารณะ พร้อมร่ายยาวถึงแนวทางการใช้ชิวิตที่เหลือ สิ่งที่ทำ ความตั้งใจ 


 
 
"ผมจะเรียนให้ทราบง่ายๆ ผมใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายแตกต่างจากคนอื่น แตกต่างยังไง ผมกินเหล้า ผมสูบบุหรี่ ผมออกมาแฉ ผมออกมาพูด คนอื่นไม่กล้า ผมทำด้วยความเต็มใจ ผมทำด้วยความสุขของผม

แน่นอนลูกเมียครอบครัวเขาอยากจะให้ผมไปพักผ่อนอยู่สงบสงบเถอะพ่อ เพื่อนฝูงก็บอกว่าเอาเบาเบาหน่อย

แต่ผมเรียนให้ทราบว่า ผมใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายแตกต่างจากคนอื่น

ผมอาจจะนั่งในสวน นั่งอยู่บนโซฟา คิดระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมา ว่าผมทำอะไรไป หรือผมอาจจะนอนอยู่ในโรงพยาบาล มีสายยางระโยงระยาง หรือวันนึงผมอาจจะตื่นขึ้นมาเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

ดังนั้นผมเป็นคนใช้ชีวิตทุกวันทุกวันเหมือนวันสุดท้าย แล้วเรื่องอะไรที่ผมทำได้ผมทำ อะไรที่มีความสุขผมก็ทำ

หมอบอกว่าอย่าทำ ผมบอก หมอ ไม่ทำแล้วมันจะหายไหม หมอบอกไม่หาย อย่างนั้นอย่าบอกแล้วกันว่าให้ผมไม่ต้องงด

ผมก็ทำของผมมีความสุข ดังนั้นการกระทำของผมเนี่ย ผมทำให้กับประเทศ ผมทำให้กับสังคม ผมมีความสุข

ผมต้องการตำแหน่งมั๊ย ผมไม่ต้องการตำแหน่ง

จะให้เงินผมมั๊ย ผมไม่ต้องการ คุณเคยให้ผมมาแล้วไง 6 ล้าน ผมก็เอาไปให้โรงพยาบาล

ดังนั้นถ้าถามผมว่า ผมเป็นอะไรไหม สิ่งที่ผมเป็น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมทำเลย

ผมเป็นคนใช้ชีวิตด้วยความสุข ใช้ชีวิตในวัยสุดท้าย วันเวลาสุดท้ายอย่างมีความสุข ผมเลือกวิถีชีวิตแบบนั้น 

ไม่กินนู่นนะ ไม่กินนี่นะ แล้วมันหาย(ไหม) มันไม่หาย เมื่อมันไม่หาย ไวน์ขวดเท่าไหร่ ขวดละ 3 แสน มึงรีบเปิดเลยนะ มึงรีบเปิดกินวันนี้เลย ตั้งแต่วันนี้ เพราะอะไร เพราะกูไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้กินหรือเปล่า นั่นก็คือนิยามในการใช้ชีวิตของผม

บางคนก็อาจจะไม่ได้ใช้ ดังนั้นชีวิตใครชีวิตมัน

ผมเลือกวิถีทางแบบนี้แล้ว มันเป็นวิถีทางปลายทาง บางคนอาจจะเข้าวัดเข้าวา บางคนอาจจะนั่งธรรมะธรรมโม แต่ผมเป็นคนใช้ชีวิตแบบนี้ เลือกเอาความสุขในวาระสุดท้าย ผมมีหมายกำหนดการ

หมายกำหนดการของผม เค้าแมกซิมั่นผม อยู่ไม่เกินแปด

เพราะฉะนั้นคุณต้องดีใจนะ

คุณอาจจะคิดถึงผม ในวันที่ผมไม่อยู่ คุณอาจจะคิดถึงว่า เอ๊ะมันขาดอะไรไป ซักวันนึง วันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็เหมือนเดิมแหละครับ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกครับ

ผมไป ผมก็ไปในที่ที่สวยงาม ผมไปในที่ที่ผมคิดว่าผมไปแล้วทุกคนมีความสุข ลูกหลานไม่ต้องไปจัดงานให้สิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย

นี่ยังดีนะที่ผมอยากมีโอกาสมาคุยกับคุณ มันดีกว่าคนบางคนซะด้วยซ้ำนะ ที่เปิดมาแล้วอัมพฤกษ์อัมพาต จำอะไรไม่ได้ ยังมีโอกาสร่ำ มีโอกาสลากัน

เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดครับ เกิดแก่เจ็บตายมันเรื่องธรรมดา

ไอ้ผมนี่มันไม่กลัวไง คุณถึงกลัวผมไง เพราะถ้าคนอื่นเค้าหวังได้โน่นได้นี่ หวังว่าจะใหญ่จะโต หวังว่าจะมีตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าไม่เหมาะสม ผมก็เลยนำเรื่องนี้มาพูดให้พวกคุณและสังคมได้ฟัง และสังคมก็เป็นผู้พิจารณา"


คำให้สัมภาษณ์

 
 
 

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด