นอกจากนี้สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) คาดการณ์ว่ามีสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะประมาณ 340 แห่งทั่วประเทศจะเห็นได้ว่าตัวเลขการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าในครึ่งปีแรก (พ.ศ. 2562) มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มการจดทะเบียนจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการที่ได้ยื่นข้อเสนอการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศไทยอีกหลายบริษัทมีทั้งผู้ประกอบการเดิมและผู้ประกอบการใหม่ ทำให้มั่นใจได้ประเทศไทยกำลงเดินหน้าได้ยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทางสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยได้มีส่วนในการเสนอแนะและผลักดันการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมทั้งการศึกษาและติดตามนโยบายและการดำเนินการของภาครัฐ พร้อมการจัดระดมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในหลายเวที หลายการประชุมและในหลายโอกาส พร้อมทั้งได้จัดข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยล่าสุดออกมาอย่างเป็นทางการโดยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมาทางสมาคมได้จัดแถลงข่าวข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเผยแพสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการอีกด้วย
โดยข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยรวมทั้งหมด 8 ข้อหลักที่จะเสนอให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้แก่
1. การจัดทำแผนที่นำทางเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าแบบบูรณาการ (EV Roadmap) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องมีการกำหนดเป้าหมายของจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าและสถานีอัดประจุไฟฟ้าอย่างเหมาะสม พร้อมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศตลอดห่วงโซ่อุปทานนอกจากนี้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการบูรณาการนโยบายโดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อการบูรณาการที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
2. การพิจารณาปรับปรุงข้อกฎหมาย อาทิ ให้รถสามล้อไฟฟ้าและรถรับจ้างไฟฟ้าสามารถจดทะเบียนได้อย่างเสรี รวมไปถึงการส่งเสริมการใช้รถสามล้อไฟฟ้าในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งเสนอให้มีการแยกการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าระหว่างประเภทปลั๊กอิน ไฮบริด (PHEV) และไฮบริด (HEV)
3. การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยควรออกมาตรการดังต่อไปนี้
3.1 ส่งเสริมให้ประชาชนซื้อยานยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่เหมาะสม เช่น การลดภาษีส่วนบุคคลสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
3.2 เพิ่มแรงจูงใจสำหรับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อาทิ การออกมาตรการสถานีอัดประจุไฟฟ้าตามที่จอดสาธารณะและเพิ่มสิทธิ
3.3 หน่วยงานรัฐควรเป็นผู้นำด้านการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก่อนด้วยการจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
3.4 ขยายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในรถโดยสารสาธารณะ ได้แก่ รถโดยสารสาธารณะ รถตุ๊กตุ๊ก รถแท็กซี่ ควรเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด
3.5 สนับสนุนให้มีการแยกประเภทป้ายทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบเฉพาะ โดยการใช้สีและสัญลักษณ์บนป้ายทะเบียนที่สามารถมองเห็นและแยกแยะได้ สำหรับป้ายที่เป็นประเภทแบตเตอรี่หรือไฟฟ้า 100 เปอร์เซนต์ (BEV) และประเภทปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เพื่อสร้างการรับรู้ของประชาชน และการมีส่วนร่วมของผู้ขับขี่ในการช่วยลดมลภาวะและรักษาสิ่งแวดล้อม
4. การส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและรถสามล้อไฟฟ้า
5. การส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยควรจัดให้มีการสนับสนุนการสร้างงานวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มแบบเปิดสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Open Platform) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำแพลตฟอร์มมาต่อยอดได้
6. การจัดทำมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องโดยควรต้องมีหน่วยงานทดสอบและรับรองมาตรฐานของยานยนต์ไฟฟ้าและเบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพควบคู่กันโดยแล้วใช้แนวทางตามมาตรฐานสากล
7. การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเนื้อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า อย่างเช่น การสนับสนุนให้มีสถานีอัดประจุไฟฟ้าแบบเร็ว (Quick Charge) ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ
8. การส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์ไฟฟ้าเช่น ให้มีการอบรมและการจัดทำหลักสูตรวิชาชีพในสถาบันการศึกษา
หากมีการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างจริงจังและแพร่หลาย จะสามารถช่วยลดปัญหามลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาโลกร้อนที่กำลังลุกลามไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย รวมทั้งจะทำให้ประเทศเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนและเป็นการนำประเทศไปสู่สังคมยานยนต์ไร้มลพิษได้อย่างแน่นอน