ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ตรวจคัดกรองมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ตรวจคัดกรองมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ Thumb HealthServ.net
ตรวจคัดกรองมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ThumbMobile HealthServ.net

การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีบริการตรวจดังนี้ การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้ชาย การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้หญิง การตรวจคัดกรองมะเร็งปอด การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ตรวจคัดกรองมะเร็ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ HealthServ
สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เริ่มเปิดให้บริการการรักษาโรคมะเร็งตั้งแต่ปี 2494 จนถึงปัจจุบัน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา และอุปกรณ์ให้การรักษาด้านรังสีรักษาอันทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ด้วยงบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาท นับว่าเราเป็นผู้นำในการรักษาโรคมะเร็งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา นักฟิสิกส์การแพทย์ นักรังสีเทคนิค ตลอดจนเป็นสถานที่อบรมศึกษาดูงานของบุคลากรทางรังสีรักษาและโรคมะเร็ง ทั้งจากสถาบันอื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน เนปาล จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย บังคลาเทศ พม่า เวียดนาม และเกาหลีเหนือ โดยได้รับความร่วมมือจากทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA)
 
 

ด้านการบริการ

 
สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีความมุ่งมั่นในการรักษามะเร็งด้วยวิธีการมาตรฐาน มีหลักฐานและข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือและอ้างอิงได้ เราให้การบริการด้วยความจริงใจ และตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติให้มากที่สุด โดยมีการประสานงานการรักษากับทีมแพทย์เฉพาะทางสหสาขา 

 

ติดต่อสอบถาม


สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 1873 ถนนพระราม4 ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
Email address : chulacancer@yahoo.com
ปรึกษาการนัดและการตรวจพบแพทย์ โทร: 02-2564100
 

ผู้ป่วยใหม่ทำอย่างไร

 
โดยปกติแล้วสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา จะให้บริการรักษาด้วยรังสีและยาเคมีบำบัด เฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคมะเร็งแล้วเท่านั้น ซึ่งท่านจะต้องได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้ดูแล ซึ่งอาจจะเป็นศัลยแพทย์หรือสูตินรีแพทย์หรือแพทย์หูคอจมูกเสียก่อนจึงจะมารับการตรวจต่อที่เราได้ โดยทั่วไปสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อยู่แล้ว แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้ส่งปรึกษามายังสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาเอง สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น มีแนวทางปฏิบัติต่อไปนี้
 
1. เตรียมข้อมูลมาดังต่อไปนี้
 
ประวัติการรักษา/ใบส่งตัว
ผลการตรวจเลือด
ฟิล์มเอกซเรย์
ประวัติการผ่าตัด
รายงานผลการตรวจชิ้นเนื้อ, รายงานทางพยาธิวิทยา
2. นำข้อมูลมาติดต่อทำบัตรผู้ป่วยที่ตึก ภปร.ชั้นล่าง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในเวลาราชการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-16.00 น. แผนที่
 
3. ติดต่อเจ้าหน้าที่และพยาบาลที่ตึกว่องวานิช ชั้นล่าง แผนที่
 
4. ผู้ป่วยจะได้รับบัตรนัดเพื่อเข้าที่ประชุมแพทย์เพื่อวางแผนการรักษา (โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์)
 
5. ผู้ป่วยได้รับบัตรนัดเริ่มการรักษา
 
 

 
 
 

เครื่องมือทางรังสีรักษา

ปัจจุบันมีเครื่องมือทางรังสีรักษามากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่
 
เครื่องฉายรังสี Linear Accelerator 4 เครื่อง ซึ่งสามารถทำการรักษาฉายรังสีแบบ 3 มิติ แบบปรับความเข้ม 1,000 องศา พร้อมกับการปรับความเร็วของการหมุนและการเคลื่อนที่ของซี่ตะกั่วกำบังรังสี (Volumetric Modulated Arc Therapy) ซึ่งสามารถฉายรังสีแบบปรับความเข้มหมุนรอบตัวผู้ป่วยที่ฉายรังสีได้ในเวลาอันสั้น พร้อมระบบภาพนำวิถีแบบ 2 และ 3 มิติ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของลำรังสี (Image-guided radiotherapy: IGRT)
 
เครื่องฉายรังสีความเข้มสูง (TrueBeam) เป็นเครื่องที่ใช้วิธีการฉายลำรังสีโดยไม่ต้องผ่านที่กรองร้งสีให้เรียบ เรียกว่า unflat beam ทำให้ได้อัตราปริมาณรังสีสูงถึง 2,400 cGy/MU สามารถทำการฉายรังสีแบบปรับความเข้มด้วยเวลาอันรวมเร็วจึงเหมาะกับการรักษาที่ให้ปริมาณรังสีสูงใช้จำนวนครั้งการรักษาลดลง
 
เครื่องฉายรังสีแบบศัลยกรรมความเข้มสูง (TrueBeam) สามารถทำการรักษาฉายรังสีศัลยกรรมบริเวณศีรษะได้อย่างแม่นยำ พร้อมระบบภาพนำวิถีแบบ 3 มิติ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของรังสี (Image-guided radiotherapy: IGRT) และมีระบบตรวจสอบตำแหน่งผู้ป่วยตลอดเวลา โดยใช้แสงอินฟราเรด เรียกว่า Align RT
 
เครื่องจำลองการฉายรังสีด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ซึ่งสามารถให้การจำลองการฉายรังสีทั้งแบบ 3 และ 4 มิติ (CT simulation)
 
 
เครื่องจำลองการฉายรังสีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2 เครื่อง ( MRI simulation ) ซึ่งสามารถเห็นภาพของเนื้อเยื่อคมชัดกว่าภาพจากเครื่องจำลองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะรอยโรคในสมองและช่องเชิงกราน โดยสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นแห่งแรกในเอเชียที่มีการใช้เทคโนโลยีการจำลองการฉายรังสีด้วยภาพสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้
 
 
เครื่องใส่แร่แบบ 3 มิติ พร้อมอุปกรณ์ใส่แร่แบบ 3 มิติ โดยสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ถือเป็นสถานทีแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการการใส่แร่แบบ 3 มิติ โดยใช้เครื่องจำลองการฉายรังสีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาให้มากที่สุด
 
เครื่องฉายรังสีเต้านมในห้องผ่าตัดแบบสัมผัส เพื่อทำลายเซลล์เพียงครั้งเดียวหลังการผ่าตัดเอาก้อนออก เพื่อช่วยลดระยะเวลาการฉายรังสีระยะไกลสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้ ถือว่าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มีเครื่องฉายรังสีเป็นเครื่องแรกของประเทศไทยและเปิดใช้งานตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2554 

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

 การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
วิธีตรวจคัดกรอง
 
Papanicolaou smear
- ควรทำทุก 1 ปี ในหญิงทุกคนที่อายุ 35-55 ปี และแนะนำในหญิงทุกคนที่เคยมีประวัติเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ถ้าปกติติดต่อกัน 3 ปี ต่อไปทำทุก 3 ปี
 
 
การเตรียมตัวก่อนรับการตรวจ 
  • ต้องไม่มีการตรวจภายในมาก่อน 24 ชั่วโมง
  • ไม่มีการเหน็บยาในช่องคลอดมาก่อน 48 ชั่วโมง
  • ห้ามล้างหรือทำความสะอาดภายในช่องคลอดมาก่อน 24 ชั่วโมง
  • งดการมีเพศสัมพันธ์คืนวันก่อนมารับการตรวจ
 
วิธีการตรวจ Pap smear technique
 
  • ใส่ปลายแหลมของ Modified Ayre Spatula เข้าในรูปากมดลูก
  • ดันส่วนโค้งของ Spatula ชิดปากมดลูก
  • หมุน Spatula ด้วยแรงกด จนคิดว่าได้เซลล์จากทุกจุดในบริเวณปากมดลูกทั้งข้างนอกและใน
  • ป้ายลงบนแผ่นกระจกโดยวางขนาน
  • ค่อย ๆ ลาก Spatula ไปปลายใสของแผ่นกระจก ป้านไปทางเดียว
  • ทำอย่างรวดเร็วและเกลี่ยให้บาง
  • แช่ในขวดน้ำยา Alcohol  
 

ตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคที่มักพบในผู้ชายอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไปก็มักจะมีต่อมลูกหมากโตอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดอาการ ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่งแรง ปัสสาวะบ่อย ถ้าอาการเป็นมากอาจทำให้ปัสสาวะไม่ออกซึ่งอาการเหล่านี้แยกได้ยากกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมากจึงจำเป็นต้องตรวจดูว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่โดยใช้วิธีดังนี้
 
1. การตรวจทางทวารหนัก
เป็นการตรวจโดยแพทยย์จะใช้นิ้วมือสอดเข้าทางทวารหนักเพื่อคลำต่อมลูกหมากที่อยู่ทางด้านหน้าช่วยในการแยกต่อมลูกหมากโตและมะเร็งต่อมลูกหมากได้ในบางรายควรปีละครั้ง
 
2. การตรวจเลืออเพื่อดูระดับ พี-เอส-เอ (PSA= Prostatic Specific Antigen) ระดับ พี-เอส-เอ ในเลือดจะสัมพันธ์กับโรคของต่อมลูกหมาก โดยถ้ามีระดับสูง มากกว่าค่าปกติมากจะช่วยบ่งชี้ว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรรับการตรวจปีละครั้ง
 
3. การตรวจโดยวิธีอัลตร้าซาวนด์ผ่านเข้าทางทวารหนัก (Transrectal ultrasound) แพทย์จะใช้วิธีตรวจนี้เมื่อมีข้อสงสัย, ไม่ได้ใช้ตรวจในผู้ป่วยทุกราย เช่น เมื่อตรวจทาง ทวารหนักแล้วพบความผิดปกติ การตรวจจะทำโดยสอดหัวตรวจขนาดเล็กเข้าไปในทวารหนักแล้วดูภาพการสะท้อนของคลื่นในจอคอมพิวเตอร์
 

ตรวจคัดกรองมะเร็งปอด

ตรวจคัดกรองมะเร็งปอด
1. การตรวจที่ใช้คัดกรองมะเร็งปอดชนิดต่างๆ
 
มีการนำการตรวจคัดกรองมาใช้เนื่องจากการตรวจเหล่านี้ช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปอดระยะต้น และลดอัตราการเสียชีวิต
 
จากมะเร็งปอด อย่างไรก็ดีไม่มีการวิจัยทางการแพทย์พบว่าการตรวจคัดกรองจะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากมะเร็งปอด
 
นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาการตรวจคัดกรองที่มีประโยชน์สูงและความเสี่ยงต่ำ การศึกษาเรื่อง การตรวจคัดกรองมะเร็ง
 
มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าการวินิจฉัยมะเร็งปอดได้ในระยะต้นๆ ซึ่งยังไม่มีอาการจะช่วยลดอัตราในการเสียชีวิตจากโรค
 
หรือไม่ มะเร็งบางชนิดถ้าพบในระยะเริ่มแรกจะเพิ่มโอกาสในการหายมากขึ้น
2. การตรวจที่นิยมใช้คัดกรองมะเร็งปอด
 
2.1 เอกซเรย์ปอด คือการถ่ายภาพอวัยวะและกระดูกภายในทรวงอก โดยรังสีเอกซเรย์มีความสามารถในการทะลุทะลวง
 
ร่างกายไปแสดงภาพบนแผ่นฟิล์ม
 
2.2 การตรวจเสมหะ เป็นการนำเสมหะมาดูโดยใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อหาเซลล์มะเร็ง 
3. การตรวจคัดกรองแบบใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยการแพทย์
 
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นการแสดงชุดภาพของอวัยวะภายในร่างกายโดยใช้เครื่องเอกซเรย์ในการสแกนร่างกายแล้ว
 
ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ทำให้ได้รูปภาพออกมา 

ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆในคนไทย และอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน การตรวจคัดกรอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ และการตรวจหาความผิดปกติที่ลำไส้ได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก พบว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ได้อย่างชัดเจน
 
ดังนั้นบุคคลที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และบุคคลที่มี พ่อ แม่ พี่ น้องลูกป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จึงควรได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ
 

บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่พบได้ในทุกอายุ แต่อัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะสูงขึ้นในผู้สูงอายุ โดยจะพบได้มากหลัง อายุ 50 ปี แต่โอกาสเกิดโรคจะมีการเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ หลังอายุ 40 ปี เป็นต้นไป
  • บุคคลที่มีญาติใกล้ชิดเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, หรือผู้ที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังของลำไส้บางอย่าง จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าคนทั่วไป (Crohn’s disease และ Ulcerative colitis)
  • ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน
  •  มีอาการท้องผูกเป็นประจำ
  • ทานเนื้อสัตว์ จำนวนมาก
  • ทานผักน้อย
  • ไม่ออกกำลังกาย
  • สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา
 
ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในกรณีที่มีญาติใกล้ชิดเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ถ้ามีพ่อ, แม่, พี่, น้องหรือลูก เป็นโรคนี้  1 คน  =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
  • ถ้ามีพ่อ, แม่, พี่, น้องหรือลูก เป็นโรคนี้  2 คน  =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
  • ถ้ามีพ่อ, แม่, พี่, น้องหรือลูก เป็นโรคนี้ โดยอายุของญาติที่เป็นโรคอายุน้อยกว่า 50 ปี   =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
  • ถ้ามีพ่อ, แม่, พี่, น้อง, ลูก มีเนื้องอกที่ลำไส้  1 คน  =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2 เท่า
  • ถ้ามีปู่, ย่า, ตา, ยาย, ลุง, ป้า, น้า, อา เป็นโรคนี้  1 คน  =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า
  • ถ้ามีปู่, ย่า, ตา, ยาย, ลุง, ป้า, น้า, อา เป็นโรคนี้  2 คน  =>  จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้หญิง

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้หญิง
ตรวจสุขภาพหามะเร็งอย่างไรดี และเมื่อไหร่!
 
โรคที่มักพบได้บ่อยในผู้หญิงก็คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ดังนั้นจึงเน้นไปที่อวัยวะเหล่านี้เป็นหลัก
 
เต้านม
 
โดยทั่วๆไป ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ควรจะต้องเริ่มมีการตรวจเต้านมตัวเองอยู่สม่ำเสมอ แนะนำให้ตรวจหลังการหมดช่วงมีประจำเดือน และให้พบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมทุก1-3ปี
 
อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แนะนำเริ่มมีการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปี และยังต้องมีการตรวจด้วยตัวเองต่อไปอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม
 
แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป เช่น เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน เคยตรวจเจอเนื้อเต้านมชนิด LCIS เคยฉายแสงก่อนอายุ 30 ปี บริเวรหน้าอก มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือเป็นมะเร็งทางพันธุกรรมเต้านม รังไข่ อาจต้องเริ่มตรวจแมมโมแกรมที่อายุ 30 พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุก 6-12 เดือน หรือตรวจแมมโมแกรมอาจไม่พอ บางรายอาจต้องตรวจ MRI หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมด้วย 
 
 
ปากมดลูก
 
อายุ 21-29 ปี ให้ตรวจ Pap test (ตรวจแป๊ป) ทุก 3ปี เป็นการตรวจภายในและตรวจเซลล์มะเร็งที่ปากมดลูก
 
อายุ 30-65 ปี ให้ตรวจ Pap test ทุก3ปีได้ และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นอาจต้องมีการตรวจเชื้อ HPV (เอชพีวี) เพิ่มเติม โดยทำทุก 5 ปีถ้าตรวจ Pap test ร่วมกับการตรวจ HPV
 
 
ลำไส้ใหญ่
 
คนทั่วไป เริ่มตรวจที่อายุ 50 ปีค่ะ
โดยการตรวจได้หลายแบบได้แก่
* การส่องกล้องตรวจลำไส้ส่วนปลายและทวารหนัก (flexible sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี 
* การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy) ทุก10 ปี 
* การตรวจอุจจาระ โดยอาจร่วมกับส่องกล้องลำไส้ส่วนปลายปละทวารหนัก ทุก 5 ปี
* การตรวจลำไส้ใหญ่ทางเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ CT colonography ทุก 5 ปี 

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้ชาย

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้ชาย
มะเร็งที่เจอบ่อยในผู้ชาย ได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด ดังนั้นการตรวจสุขภาพจะเป็นตามแนวทางนี้ 
 
มะเร็งต่อมลูกหมาก
 
จริงๆการตรวจคัดกรองในโรคนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันเพราะมีหลายการศึกษาที่ระบุว่าการคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น ไม่ได้ช่วยเพิ่มการมีชีวิตอยู่รอด แถมเมื่อตรวจค่าผิดปกติและต้องไปเจาะตรวจชิ้นเนื้อ พบว่าประมาณ 75% พบว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง ผู้ป่วยก็จะเจ็บตัวเปล่าๆ 
 
แต่ถ้าอยากตรวจก็สามารถทำได้โดยการตรวจหาค่า PSA และการพบแพทย์เพื่อตรวจขนาดต่อมลูกหมากทางทวาร (rectal examination) โดยมักแนะนำในคนที่มีความเสี่ยงเช่น อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในครอบครัว
 
มะเร็งตับ
 
เรามักจะตรวจในผู้ป่วยที่โรคตับอักเสบเรื้อรังจากเชื้อไวรัสตับอักเสบBและC ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็ง โดยการหาเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ (liver function test) ค่าของ AFP และการอัลตราซาวน์ตับ หรือถ้ามีการสงสัยอะไรก็อาจส่งตรวจเพิ่มเติมเช่นการทำMRI 
 
มะเร็งลำไส้
 
เริ่มตรวจที่อายุ 50 ปี แต่ถ้ามีภาวะบางอย่างที่อาจมีผลเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ ก็จะแนะนำตรวจก่อนอายุ 50 ปี เช่น มีประวัติในครอบครัวเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งลำไส้ มีให้เลือกตรวจได้หลายแบบ เช่น 
 
-การส่องกล้องตรวจลำไส้ส่วนปลายและทวารหนัก (flexible sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี
-การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy) ทุก10 ปี 
-การตรวจอุจจาระ โดยอาจร่วมกับส่องกล้องลำไส้ส่วนปลายปละทวารหนัก ทุก 5 ปี
-การตรวจลำไส้ใหญ่ทางเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ CT colonography ทุก 5 ปี
 
มะเร็งปอด
 
การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดนี่ เป็นเรื่องใหม่มากพอสมควรค่ะ ล่าสุดมีการศึกษาหนึ่งออกมาว่า ช่วยลดอัตราการตายจากมะเร็งปอด 20% (lung cancer mortality rate) แต่ในการศึกษาพุ่งเป้าไปที่คนบางกลุ่ม ดังนั้นกลุ่มดังกล่าวจึงเป็นกลุ่มที่มีประโยชน์จากการตรวจคัดกรองมะเร็ง
 
การคัดกรองในที่นี้ คือการตรวจโดยใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบปริมาณรังสีต่ำกว่าปกติ เรียกว่า low-dose CT ซึ่งจะมีจำกัดอยู่เฉพาะบางโรงพยาบาลเท่านั้น
 

กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์คือ

ต้องมีทั้งสามข้อนะคะ
 
  •  มีประวัติสูบบุหรี่จัด ในที่นี้คือ ค่า pack-year ให้เอาจำนวนต่อซอง x จำนวนปี ค่าตั้งแต่30ขึ้นไปถือว่าจัด เช่น สูบ1ซองเป็นเวลา30ปี (pack year=30) , สูบ2ซองเป็นเวลา15ปี (pack year=30)
  •  ยังคงสูบอยู่หรือถ้าเลิกแล้ว ยังคงอยู่ในช่วงไม่เกิน 15 ปีหลังเลิก 
  • อายุช่วง 55-74 ปี 
 

ความเสี่ยงของการตรวจคัดกรองมีอยู่ว่า
 
1.ในเอกซเรย์อาจเห็นว่ามีอะไร แต่จริงๆแล้วไม่มี เรียกว่าค่าบวกลวง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด ต้องมาตรวจเพิ่มเติมบ่อยๆ เจาะชิ้นเนื้อเพิ่ม
 
2.อาจเจออะไรที่ผิดปกติบางอย่างจริงๆ แต่จริงๆอาจไม่ต้องรักษา ผู้ป่วยไม่มีอาการอะไร แต่อาจต้องไปผ่าตัดจริง หรือรักษาเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
 
3.การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บ่อยๆหลายครั้งมากๆ เป็นเวลานาน ก็ทำให้ร่างกายเราได้รับรังสีด้วยเช่นกัน อาจส่งผลต่อการเกิดมะเร็งบางอย่างในอนาคต
 
เพราะฉะนั้นเราจึงเลือกในคนที่มีความเสี่ยงจริงๆ เพราะจะได้รับประโยชน์จากการรักษาจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจต้องรอผลการวิจัยอื่นๆในอนาคตด้วย 

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

1873 ถนนพระรามที่ ๔ แขวง ปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด