ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ติดเชื้อโควิด-19

ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 Thumb HealthServ.net
ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ThumbMobile HealthServ.net

ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ติดเชื้อโควิด-19

ปรับแนวทางให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 HealthServ
ต่อกรณี ข่าวการให้ยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ติดเชื้อโควิด19 ที่อาจทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนจากข้อมูลจริง ขณะที่สถานการณ์การระบาดในพื้นที่กรุงเทพมีมากและกระจายไปในจุดต่างๆมากขึ้น

กรมการแพทย์ ได้ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ศึกษาผลการรักษาโรคโควิดจากการระบาดทั้ง 3 ระลอกรวมทั้งสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพื่อกำหนดแนวทางการรักษาและให้ยาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์แก่ผู้ติดเชื้อให้ดีที่สุด
 
ปรากฏข้อสรุป ดังนี้
1.ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการไม่มีโรคร่วมจะยังไม่ให้ยา
2.ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ แต่มีโรคร่วมหรือมีปัจจัยเสี่ยงนอกเหนือจากการรักษาตามอาการ สามารถให้ยาต้านไวรัสได้ทันทีตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น ผู้ที่มีภาวะอ้วน
3. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยและมีความเสี่ยงหรือมีอาการปอดอักเสบเล็กน้อยให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ รวมทั้งให้ยาสเตียรอยด์ในรายที่รุนแรงเพื่อช่วยลดอาการรุนแรงจน ซึ่งพบว่า ลดการใช้ท่อช่วยหายใจได้มาก 
4.ผู้ติดเชื้อที่มีอาการปอดอักเสบ ระดับออกซิเจนต่ำกว่า 96% หรือปอดอักเสบรุนแรงให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โลพินาเวียร์ หรือริโทนาเวียร์ และสเตียรอยด์ในรายที่รุนแรง 
 
          “เราได้ปรับแนวทางการให้ยาที่เร็วขึ้น เน้นในผู้ติดเชื้อที่มีโรคร่วม และตามดุลยพินิจของแพทย์แต่ไม่หว่านแหให้กับทุกคน เนื่องจากยามีผลข้างเคียงและอาจเกิดเชื้อดื้อยาได้ เพราะผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและไม่มีโรคร่วมส่วนใหญ่อาการจะไม่เปลี่ยนเป็นกลุ่มสีแดง จึงไม่จำเป็นต้องกินยา” นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
 
          สำหรับภาวะโรคร่วมหรือปัจจัยเสี่ยงที่สามารถให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ แม้ไม่มีอาการ ได้แก่
  • ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคหัวใจแต่กำเนิด
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ภาวะอ้วน น้ำหนักมากกว่า 90กิโลกรัม
  • ตับแข็ง
  • ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ น้อยกว่า 1,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
  • และภาวะอื่นๆ ที่แพทย์พิจารณาว่าเป็นภาวะเสี่ยง 

 ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ได้กระจายไปทั่วประเทศแล้ว 2 ล้านเม็ด และจะมีเข้ามาอีก 3 ล้านเม็ดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม  ส่วนอัตราการใช้ยาขณะนี้ประมาณ 50,000 เม็ดต่อวัน ซึ่งจะพอใช้ประมาณ 3 เดือน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขได้สั่งองค์การเภสัชกรรม สำรองยาไว้อีก 2 ล้านเม็ด โดยใน กทม. ได้กระจายยาไปยังโรงพยาบาลทุกเครือข่ายรวมถึง รพ.สนาม และฮอสปิเทลด้วย
 
          ส่วนประเด็นระยะเวลาในการรักษาผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลที่อาจลดลงเหลือ 10 วันนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ติดเชื้อเป็นสำคัญ โดยหลักการให้การรักษาอย่างน้อย 14 วัน หากพื้นที่ใดมีปัญหาด้านการบริหารจัดการเตียง หรือผู้ป่วยได้รับการรักษาจนไม่มีอาการแล้วอย่างน้อย 24 - 48 ชั่วโมง สามารถจำหน่ายออกจากโรงพยาบาลได้ตั้งแต่วันที่ 10 เป็นต้นไป แต่ขอให้แยกกักตัวเองต่อที่บ้านต่ออีก 4 วัน ทั้งนี้ ให้ปรับตามสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด