ปรับยุทธศาสตร์รับมือโควิดครั้งสำคัญของสิงคโปร์ - ข้อคิดสำหรับไทย
วันนี้นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ออกมาอัพเดทเรื่องยุทธศาสตร์รับมือโควิดหลังจากที่ประเทศได้อยู่ในโหมดกึ่งล็อคดาวน์มาประมาณ 2 สัปดาห์จนจำนวนเคสติดเชื้อเริ่มลดลง ซึ่งผมอยากดึงส่วนที่สำคัญและน่าจะเป็นข้อคิดที่มีประโยชน์สำหรับประเทศไทยครับ
1.Testing
นายกหลี่ย้ำถึงความสำคัญของการเทสต์มาเป็นอันดับแรกเลยครับ ก่อนพูดเรื่องวัคซีนเสียอีก
เขาปรับยุทธศาสตร์เน้นการtest กับคนที่ไม่มีอาการด้วย โดยทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ถูกลง วงกว้างขึ้น (Scale) และหลากหลายรูปแบบขึ้น เรียกว่าเหมือนเอาหลักบริหารสตาร์ทอัพมาใช้กับการtest ก็ว่าได้
สิงคโปร์มีการทดลองการtest หลายรูปแบบนอกเหนือจาก PCR ที่แม้จะค่อนข้างแม่นยำแต่ใช้เวลานาน แพง และไม่สบายตัว เช่น มี Antigen Rapid Test ที่ใช้ตรวจคนก่อนงานอีเว้นท์ใหญ่ และการตรวจแบบเป่า (คล้ายๆตรวจแอลกอฮอล์)ที่เริ่มลองใช้ที่ชายแดนและสนามบิน ที่ถูกกว่า ง่ายกว่าและไม่เวลาไม่นานรู้ผล
โดยต่อไปอาจมีการเปิดให้มีการtestแบบที่ง่ายจนคนสามารถซื้อเองได้ตามร้านขายยา เป็นการใช้ประกอบ PCR อีกที (ไม่ใช่มาแทนที่)
นายกหลี่มองว่าการ test เป็นอาวุธสำคัญในการจำกัดการระบาดในช่วงวิกฤตที่มีการแพร่ระบาดสูงเพื่อให้คนที่มีเชื้อรู้ตัวเร็วและระงับการแพร่เชื้อ
แต่แค่นั้นไม่พอการ test ยังสำคัญในช่วงปกติด้วยเพราะในอนาคตเราอาจต้องอยู่กับการตรวจหาเชื้อตลอดเวลาเพื่อให้สามารถกลับไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อได้
เช่น คนที่อยู่ในอาชีพที่ต้องใกล้ชิดคนจำนวนมากทำให้เกิดความเสี่ยงเป็น Super spreader ได้ง่าย เช่น คนขับแท็กซี่ บุคคลากรด้านสุขภาพ ฯลฯ อาจต้องมีการตรวจเป็นช่วงๆแม้ยามปกติ
คนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานเป็นประจำก็ควรจะตรวจได้โดยง่าย
คนที่อยากตรวจเองเพราะไม่แน่ใจตนเองไปเสี่ยงมาไหมก็ควรจะตรวจได้เพื่อความสบายใจ
การมีเครื่องมือ/รูปแบบการตรวจที่หลากหลายจึงสำคัญไม่ใช่ระยะสั้นแต่ในนิวนอร์มอลที่โควิดอาจอยู่กับเราไปเรื่อยๆหากเราต้องการให้เศรษฐกิจเราไม่สะดุดอีก
2.Tracing - แกะรอย
แต่ต้องขอเล่าย้อนนิดนึงว่าสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการแกะรอยมากๆเสมอมาและมีการปรับทั้งเทคโนโลยีและวิธีการตลอดเวลา
- ให้ประชาชนใช้ แอพพลิเคชันที่คอย track เวลาเข้าไปตามที่ต่างๆ(คล้ายๆไทยชนะ+หมอชนะแต่เทคโนโลยีต่างกันหน่อย)
- หากไม่ถนัดโทรศัพท์หรือไม่อยากใช้แอพฯสามารถไปเอาเป็นโทเคนเล็กๆคล้ายพวงกุญแจที่มีสัญญาณบลูทูธใช้เช็คอินได้แทน โดยอุปกรณ์นี้แจกฟรีให้ประชากรทุกคนรวมทั้งเด็กและคนต่างชาติ
- รัฐบาลไม่บังคับให้ใช้แอพฯ/โทเคนนี้แต่ปีที่แล้วมีบอกว่าจะเปิดเมืองมากขึ้นก็ต่อเมื่อประชากรเกิน xx%ใช้อุปกรณ์นี้
- ทุกวันที่ประกาศผลว่าติดเชื้อกี่คนจะบอกว่ากี่คนที่โยงกับคลัสเตอร์ที่เรารู้จักแล้ว แปลว่าแกะรอยเจอว่ามาจากไหนและกี่คนที่ไม่รู้ไปติดมาจากไหน ตัวเลขนี้สำคัญมากคนที่นี่ลุ้นทุกวันเพราะหากตัวเลขคนที่แกะรอยไม่เจอสูงขึ้นมากเมื่อไร ทุกคนรู้ว่ามาตราการล็อคดาวน์ตามมาแน่!
ในวันนี้นายกหลี่เพิ่มเติมความเข้มข้นเกี่ยวกับมาตราการการแยกตัว คือ หากใครไปสัมผัสกับคนที่เป็นโควิดมา (N+1) ทั้งครอบครัวของเขาต้องแยกตัวโดยไม่ต้องรอผลตรวจว่าเจ้าตัวติดไหม จนกว่าขะรู้ว่าผลเป็นลบ
ทำไมถึงเพิ่มตรงนี้? เพราะข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการติดเชื้อล่าสุดเกิดจากคนในครอบครัวแพร่กันเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการใช้ data สำคัญจริงๆครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่านี่เป็นประเด็นใหญ่ที่เราต้องคิดหนักว่าจะทำอย่างไรจะเพิ่มความสามารถในการ test, trace, isolate ของไทยในอนาคตที่ต้องใช้อยู่แม้จะฉีดวัคซีนแล้ว
3.Vaccine
สุดท้ายคือ การฉีดวัคซีน สิงคโปร์ยอมรับตรงๆว่าปัญหาที่ผ่านมาคือ ซัพพลายของวัคซีน ไม่ใช่เพราะสิงคโปร์ไม่ได้สั่งยาไว้แต่เป็นเพราะการส่งมอบมาเป็นชุดๆ เลยทำให้ยังฉีดได้ไม่ไดเเร็วกว่านี้ (แต่ก็ประมาณ40% ของประชากรได้ฉีดเข็มแรก)
กระบวนการกระจายฉีดไม่มีปัญหา ประชาชนเลือกได้ว่าจะเอา Pfizer หรือ Moderna ตัวผมเองเพิ่งได้ฉีดเข็มแรกพบว่าเมื่อถึงคิวเรานัดออนไลน์วันนี้ได้คิวพรุ่งนี้ จากเดินเข้าไปที่สโมสรชุมชนที่เขาฉีดวัคซีนใช้เวลา 5นาทีโดนจิ้มเรียบร้อย แล้วให้นั่งรอผลข้างเคียง30นาที
แต่เพราะเรื่องซัพพลายสิงคโปร์จึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์การฉีดใหม่
- เน้นฉีดเข็มแรกก่อนให้ได้ในวงกว้างที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตจากการติดเชื้อ
- ตอนนี้กำลังฉีดกลุ่มอายุ 40กว่าแต่เดี๋ยวจะกระโดดข้ามไปฉีดเด็กอายุ 12+ เพื่อให้เขาสามารถไปโรงเรียนได้และสถาบันการศึกษาไม่ต้องปิด โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังจะมีสอบสำคัญ เพราะไม่อยากให้การศึกษาถูกกระทบ
- แล้วถึงจะกลับมาฉีดกลุ่มอายุ ต่ำกว่า 39 อีกที
- เปิดให้คลีนิกเอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกมาฉีดได้
นอกจากนี้นายกหลี่สื่อตรงกับผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้มารับการฉีดยาทั้งๆที่เป็นกลุ่มแรกที่เปิดให้ฉีด เชิญชวนให้เขามาฉีดโดยบอกว่า “รู้มั้ยเพื่อนๆวัยคุณส่วนใหญ่ฉีดแล้วนะ ผมเองก็ฉีดแล้ว”
ซึ่งต้องเข้าใจครับว่านายกหลี่นั้นป๊อบมากในหมู่คนสูงอายุและการบอกว่าเพื่อนคุณส่วนใหญ่ฉีดแล้วก็เพื่อสร้างความมั่นใจว่ามันปลอดภัย เพราะงั้นการสื่อสารนี้มีการคิดมาอย่างดีแน่นอน
สุดท้ายแกก็ขอบคุณทุกคนครับที่ทำให้ประเทศมาถูกทางที่ผ่านมาและวาดภาพให้เห็นว่าในอนาคตคงจะมีการได้หลับไปเดินทางและทำธุรกิจระหว่างประเทศได้อีกแต่ก็เตือนว่าแม้ในระยะยาวโควิดอาจไม่หายไปไหนและกลายเป็นส่วนนึงของชีวิตไปเลย เพราะงั้นการเตรียมตัวกับนิวนอร์มอลจคงเป็นสิ่งสำคัญของประเทศใดก็ตามที่ต้องการจะฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างเข้มแข็ง
ปล1 ที่พูดมานี่ไม่ใช่แค่ว่าจะชื่นชมนายกสิงคโปร์หรอกนะครับ แต่คิดว่าหลายข้อที่เขาคิดและทำน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยด้วยไม่มากก็น้อยครับ