องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลสรุปที่สนับสนุนว่าควรฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือไม่ ขณะที่ล่าสุดนักวิจัยในอังกฤษชี้ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์และแอสตราเซเนกาเริ่มลดลงหลังฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 6 เดือน
วันนี้ (26 ส.ค.2564) สำนักงานรอยเตอร์ส รายงานว่า งานวิจัยที่จัดทำโดยโซอี โควิด สตัดดี (ZOE Covid Study) จากการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานแอปพลิเคชันมากกว่า 1 ล้านคน พบว่า ภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และวัคซีนแอสตราเซเนกาที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เริ่มลดลงภายในเวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากฉีดวัคซีนแต่ละยี่ห้อครบทั้ง 2 เข็ม ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
โดยหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม พบว่า ประสิทธิภาพลดลงจากร้อยละ 88 เหลือร้อยละ 74 หลังผ่านไปแล้ว 5-6 เดือน ขณะที่วัคซีนแอสตราเซเนกา ลดลงจากร้อยละ 77 เหลือร้อยละ 67 หลังผ่านไปแล้ว 4-5 เดือน
ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการรายงานการติดเชื้อของผู้ใช้งานแอปพลิเคชันสำหรับเก็บข้อมูลอาการผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งโซอีจัดทำร่วมกับคิงส์ คอลเลจและได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอังกฤษ แต่นักวิจัยที่อยู่เบื้องหลังโครงการนี้ ระบุว่า จะต้องเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนที่อายุน้อยเพิ่มเติมอีก เพราะกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนครบ 6 เดือนแล้วส่วนมากเป็นผู้สูงวัยที่ได้รับการฉีดวัคซีนก่อนในช่วงแรกๆ
ขณะที่เทดรอส อะดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัย ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประโยชน์หรือความปลอดภัยในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น แต่สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งบางประเทศเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขณะที่บางประเทศยังแทบจะไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มแรก เขามองว่านี่เป็นประเด็นทางศีลธรรมมากกว่า
เรื่องและภาพจาก
ThaiPBS 26 ส.ค.64