สรุปผลการประชุมสุดยอดโคโรน่า ณ วันที่ 18/11/2021 สรุปมาตรการรับมือโควิด-19 (เบื้องต้น) ฤดูหนาว 2021 ของเยอรมัน อย่างที่เขียนก่อนหน้าไปแล้วว่า วันนี้มีการประชุมระหว่างรัฐบาลและรัฐต่างๆ เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมต่อสถานการณ์โควิดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในเยอรมนี ซึ่งมาตรการสำคัญที่ตกลงกันออกมาแล้ว ก็มีดังนี้
9 มาตรการโคโรนาเข้มข้นของเยอรมัน
1. ต่อไปนี้มาตรการโคโรนาจะขึ้นอยู่กับค่าเกณฑ์สำหรับอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล / Hospitalisierungsrate ซึ่งค่าตัวนี้ ก็คือ ค่าบ่งชี้จำนวนผู้ป่วยโควิดต่อ 100,000 คนที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาทั่วประเทศ และมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ 5.3 คน โดยต่อไปจะใช้ค่าเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
- ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป (Ab einem Wert von 3) รัฐจะใช้กฎกำหนด 2G กล่าวคือ เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนครบถ้วน และผู้ที่ปลอดเชื้อไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า กิจกรรมและร้านอาหาร
- ตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป กฎจะยิ่งเคร่งขึ้นไปอีกกลายเป็น 2G-Plus ซึ่งนั่นแปลว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและปลอดเชื้อแล้วก็ยังจำเป็นจะต้องแสดงผลเทสต์ที่เป็นลบประจำวันนั้นๆ
- ตั้งแต่ 9 คนขึ้นไป ทางรัฐต่างๆสามารถกำหนดการใช้มาตรการโคโรนาเพิ่มเติมได้เอง เช่น ข้อจำกัดในการติดต่อ การยกเลิกกิจกรรมสำคัญๆ เช่น ตลาดคริสต์มาส และการปิดคลับ / บาร์
*หมายเหตุ*
A1. เพื่อความเข้าใจ ความหมายของ กฏ 2G, 2G plus, 3G และ 3G plus - เป็นมาตรการป้องกันที่เข้มงวดที่รัฐต่างๆ ประกาศใช้ เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัฐต่างๆ ที่ประกาศ 2G คือ Bayern, Bawü, Sachsen, Rheinland-Pfalz (2G+), Thüringen (2G, 3G+), NRW แต่ละเกณฑ์คือ
- 3G คือ 1) ฉีดวัคซีนครบถ้วน 2) ปลอดเชื้อไม่เกิน 6 เดือน 3) ผลเทสต์ ATK ใน 24 ชม. เป็นลบ 4) ผลเทสต์ PCR ไม่เกิน 48 ชม.เป็นลบ
- 3G plus คือ 1) ฉีดวัคซีนครบถ้วน 2) ปลอดเชื้อไม่เกิน 6 เดือน 3) ผลเทสต์ PCR ไม่เกิน 48 ชม.เป็นลบ * ไม่เอาผล ATK
- 2G คือ 1) ฉีดวัคซีนครบถ้วน 2) ปลอดเชื้อไม่เกิน 6 เดือน
- 2G plus คือ 1) ฉีดวัคซีนครบถ้วน และผล ATK และ PCR เป็นลบ 2) ปลอดเชื้อไม่เกิน 6 เดือน และผล ATK และ PCR เป็นลบ
- อ้างอิงข้อมูล https://cutt.ly/4TEOQJz
A2. ส่วนอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล / Hospitalisierungsrate ของ RKI ตามรัฐต่างๆ สามารถเข้าไปเช็คได้ที่เวปนี้ RKI.de (ดูตรง Bundesländer - 7-Tage-Inzidenz Hospitalisierungen)
*************
2. ใช้กฎ 3G ในการขนส่งสาธารณะ ทั้งในพื้นที่ท้องถิ่นและทางไกล (เดินทางข้ามเมือง) ผลทดสอบจะต้องมีอายุไม่เกิน 24 ชม โดยเริ่มนับเมื่อเริ่มต้นการเดินทาง
3. ใช้กฎ 3G สำหรับการทำงานในบริษัท และนายจ้างควรจะต้องตรวจสอบสิ่งนี้ ดังนั้นต่อไปนายจ้างจะมีสิทธิ์ในการถามถึงข้อมูลสถานะการฉีดวัคซีน และจะต้องเสนอการทดสอบพนักงานให้ฟรีอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
4. มีการบังคับให้ทำงานที่บ้าน / Homeoffice-Pflicht "ในกรณีที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าไปทำงานที่ทำงาน" ก็ควรจะต้องทำงานที่บ้าน
5. มีมาตการควบคุมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รัฐต่างๆ ควรจะมีการเพิ่มค่าปรับขึ้น รวมถึงเพื่อเพิ่มความถี่ในการควบคุม และลงโทษการละเมิดกฎอย่างเด็ดขาด
6. รัฐบาลกลางและรัฐต่างๆ ต้องการเพิ่มการคุ้มครองสถานพยาบาล บ้านพักคนชราต่างๆ โดยการบังคับฉีดวัคซีน (Impfpflicht) สำหรับอาชีพบุคลากรทางแพทย์ โดยมีการระบุไว้ว่า “เราต้องปกป้องกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะ โดยรัฐต่างๆ เห็นพ้องกันว่า มีความจำเป็นที่กลุ่มวิชาชีพการรักษาและการพยาบาล และพนักงานทุกคนในโรงพยาบาล รวมถึงสถานอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ทุพพลภาพ บ้านพักคนชรา จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน coronavirus เนื่องจากพวกเขาใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงโดยตรง” พนักงานทุกคนในบ้านพักคนชรา และสถานพยาบาล ที่พักสำหรับผู้ทุพพลภาพและกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ พนักงานจะต้องทำการทดสอบทุกวัน แม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วก็ตาม
7. ปรับปรุงกรอบเงื่อนไขการทำงานของอาชีพพยาบาล และผู้ดูแลต่างๆ (Pflegebereich) มุ่งปรับให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลกลางและรัฐต่างๆ จะต่ออายุการให้โบนัสของผู้ดูแล (Pflegebonus) เป็นจำนวนเท่าไหร่ยังไม่แน่ชัด
8. แผนรณรงค์ฉีดวัคซีนกระตุ้นขนานใหญ่ หลักการคือ พลเมืองทุกคน ทุกวัย ควรได้รับการฉีดวัคซีน "บูสเตอร์" หากการฉีดวัคซีนครั้งที่สองผ่านไปแล้ว 5-6 เดือน ตามคำแนะนำของ STIKO เป้าหมายการรณรงค์ คือ การฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นจำนวน 27 ล้านโดสใน 5 สัปดาห์ข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ รัฐต่างๆ จึงควรใช้ทีมฉีดวัคซีนเคลื่อนที่และศูนย์ฉีดวัคซีนมากขึ้น และควรจะให้โรงพยาบาลเข้ามามีบทบาทหน้าที่ตรงนี้ด้วยด้วยเหตุนี้ รัฐบาลกลางจะให้การสนับสนุนทางการเงินจนถึงเดือนเมษายน 2022 นอกจากนี้กำลังทำการตรวจสอบว่า ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์อาจสามารถเข้ามาช่วยฉีดวัคซีนได้ในอนาคตหรือไม่ โดย Merkel ได้มีการเสนอให้พิจารณากลุ่มเภสัชกร
9. เงินช่วยเหลือในช่วงวิกฤตโคโรนาของรัฐ โดยเฉพาะ "Überbrückungshilfe III Plus / Bridging Aid III Plus" รวมถึง "Neustarthilfe / Restart Aid" จะขยายเวลาออกไปอีกสามเดือนจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2022 เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดใหญ่
การประชุมครั้งต่อไปมีกำหนดไว้ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2021
กฎเกณฑ์ใหม่ที่ออกมานี้ ก็เพราะทั้งรัฐบาลและรัฐต่างๆ ต้องการที่จะคลี่คลายสถานการณ์โคโรนาที่เลวร้ายลง สถาบัน Robert Koch Institute (RKI) รายงานว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 65,000 รายในวันพฤหัสบดี อุบัติการณ์เจ็ดวันเพิ่มขึ้นเป็น 319.6 และขณะนี้มีผู้ป่วยโคโรนามากกว่า 3,300 รายกำลังรับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก
“เราไม่เคยกังวลเท่าตอนนี้” Lothar Wieler หัวหน้าของสถาบัน RKI ออกมาเตือนเมื่อเย็นวันพุธ โดย Wieler ได้ย้ำเตือนถึง "เหตุฉุกเฉินร้ายแรง" และ "คริสต์มาสที่เลวร้าย"
จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ป่วยหนักเพิ่มขึ้นนี้ส่งผลกระทบให้กับผู้ป่วยโรคอื่นอีกมาก โดยขณะนี้บางแห่งต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงในการหาเตียงว่างให้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกสมองและผู้ป่วยหนักอื่นๆ Wieler กล่าวเพิ่มเติมว่า "การทำงานของระบบสาธารณสุขในหลายๆรัฐไม่ได้เป็นไปตามสถานการณ์ที่ควรจะเป็นอีกต่อไป" และสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก
เร่งฉีดวัคซีน
อีกเรื่องที่เป็นที่ถกเถียงกันในการประชุม ก็คือ คำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้ความเร็วในการฉีดวัคซีนครั้งแรกและครั้งที่สามเร็วขึ้นได้? โดยเมื่อวันนี้เองที่คณะกรรมการด้านการฉีดวัคซีน (Stiko) ได้ออกมาให้คำแนะนำอย่างเป็นทางการสำหรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ทุกคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนครั้งที่สองไปแล้วอย่างน้อย 6 เดือนก่อน หรืออาจจะดึงเข้ามาเป็น 5 เตือนก็ได้ หากไม่มีสถานการณ์ขาดแคลนวัคซีนเข้ามาเป็นอุปสรรค
ด้วยคำแนะนำใหม่นี้ จำนวนการฉีดวัคซีนคั้งที่ 3 ในประเทศได้เพิ่มขึ้นอีกหลายล้านคน ถ้าสมมติกันว่า ประชาชนจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นหลังผ่าน โดส 2 ไปเป็นระยะเวลา 6 เดือนนั้น นั่นก็แปลว่า จะมีผู้คนราวๆ 30 ล้านคนที่จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นภายในสิ้นปีนี้ และแน่นอนว่า ก็ต้องหักลบเอาช่วงวันหยุดทางการต่างๆช่วงคริสต์มาสออกไปด้วย นั่นก็ยิ่งส่งผลให้ต้องมีการฉีดวัคซีนมากขึ้นในแต่ละวัน เรียกว่า มากที่สุดเลยน่าจะถูกกว่า เพราะหากคำนวณกันจริงๆก็จะต้องฉีดให้ประชาชนต่อวันมากกว่าช่วงที่เคยฉีดได้สูงสุดมาแล้ว ซึ่งก็คือ มากกว่า 1 ล้านคนต่อวัน
กว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นก็เรียกได้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการรายงานถึงจำนวนผู้ที่สนใจจะฉีดวัคซีนโดส 3 นี้มากขึ้น ซึ่งหลายๆคนก็โดนส่งกลับไป หรือไม่ก็ไม่ได้รับการนัดหมายในระยะเวลาอันใกล้ กล่าวคือ อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าก็มี
18/11/2021 อินทรีล่าสาร
เยอรมันอินไซต์ - Germany Insights.
บทสรุป / มุมบ่นของอินทรี
ข้อส่วนใหญ่ก็เป็นไปอย่างที่คาดคิดไว้อยู่แล้วแต่แรก จริงๆแล้วต่อให้รัฐประกาศออกมาแค่ 2G แต่ผมแนะนำว่า ช่วงนี้เทสต์มันกลับมาฟรีเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปไหนที่จะต้องเจอผู้คน ร้านอาหารอะไรแบบนั้น ไปเทสต์ก่อนเถอะครับ ให้ชัวร์ทั้งตัวเองและคนอื่นก็ไม่ได้เสียหายอะไร เสียเวลานิดหน่อย แถมเดี๋ยวนี้ผลเทสต์มันส่งเข้าไปใน Corona Warn App ได้แล้วนะครับ สะดวกมากๆเลย แต่จริงๆแล้วพวกนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เค้าก็มองว่า มาตรการที่รัฐออกมานี้ยังไม่พอแน่นอน เพราะฉะนั้นซักพักก็จะต้องมีการออกมาตรการอื่นมาเพิ่ม จะถึงขั้น Lockdown มั้ย แต่เดิมน่ะ ผมคิดว่าไม่ ตอนนี้ผมว่าไม่แน่แล้วล่ะ เพราะตัวเลขมันพุ่งไปเร็วมากๆ วันนี้ตัวผู้ติดเชื้อใหม่ไปที่มากกว่า 65,000 คนแล้ว เพราะฉะนั้นก็ขอให้ทุกคนรักษากฎ AHA ใส่แมสก์ รักษาระยะห่าง ล้างมือกันดีๆเช่นเดิม ใครที่ทำงานที่บ้านได้ ก็ขอให้ทำงานที่บ้านนะครับ จะได้ไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วย จริงๆมันก็สถานการณ์วน ก็ต้องทนกันไปอีก 3-4 เดือน จนถึงราวๆสิ้นเดือน 3 ให้อากาศอุ่นขึ้นเช่นเดิม และใครที่ได้นัดฉีดโดส 3 แล้วก็ไปตามนัดนะครับ ใครที่กำลังจะครบ 6 เดือนในไม่ช้า ก็ขอให้รีบทำนัดกับหมอแต่เนิ่นๆเลยนะครับ เพราะตอนนี้ก็ต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาค่อยๆเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนอีกครั้ง กลายเป็นว่า หมอบ้าน / หมอประจำครอบครัวรับงานหนักเลยในการฉีดวัคซีนรอบนี้ คิวบางแห่งเต็มกันไปจนถึงปีหน้าแล้ว ส่วนตัวผม คงรอฉีดที่ทำงานเช่นเคย ใจเย็นๆ รักษาตัวเองกันดีๆ เช่นเคยครับ ?
อีกอย่างทิ้งไว้ให้ว่า จากประสบการณ์คนในครอบครัวที่ตอนนี้ทำงานในวอร์ดโควิดอยู่ที่ รพ ก็ยืนยันมาจากประสบการณ์หน้างานครับว่า มีทั้งคนไข้ที่เป็นผู้ที่ฉีดและไม่ฉีดวัคซีน แต่ข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างผู้ที่ได้และไม่ได้วัคซีนและติดเชื้อ คือ แม้ว่าจะถึงขั้นต้องรักษาตัวที่ รพ บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วอาการไม่ได้หนักหนา พักรักษาตัวที่ รพ ไม่นาน และท้ายที่สุดจะถูกส่งกลับบ้านก่อนผู้ไม่ฉีดวัคซีนเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด อันนี้คนหน้างานยืนยันมาด้วยตัวเองเลยว่า วัคซีนได้ผลจริงๆ ครับ เพราะฉะนั้นใครยังไม่ฉีดวัคซีน ก็ไปเถอะครับ สงสารบุคลากรทางแพทย์ที่เค้าต้องทำงานหนักกันตอนนี้เถอะครับ... ?
อ้างอิง: