ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

สธ.คาดโควิดพุ่งอีก 2 สัปดาห์ เหตุหยุดยาวกลางก.ค. จากท่องเที่ยว ทำกิจกรรม

สธ.คาดโควิดพุ่งอีก 2 สัปดาห์ เหตุหยุดยาวกลางก.ค. จากท่องเที่ยว ทำกิจกรรม Thumb HealthServ.net
สธ.คาดโควิดพุ่งอีก 2 สัปดาห์ เหตุหยุดยาวกลางก.ค. จากท่องเที่ยว ทำกิจกรรม ThumbMobile HealthServ.net

สธ.คาด โควิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า จากช่วงหยุดยาวกลางเดือนกรกฏาคม (13-17 ก.ค.) ประชาชนเดินทางท่องเที่ยว รวมกลุ่ม ทำกิจกรรม กิจกรรมศาสนา แนะประชาชนเข้มมาตรการป้องกันตนเองต่อเนื่อง กลุ่มเสี่ยง 608 น่าเป็นห่วง แนะเข้ารับวัคซีนกระตุ้น หากติดเชื้อควรรีบพบแพทย์ทันที

สธ.คาดโควิดพุ่งอีก 2 สัปดาห์ เหตุหยุดยาวกลางก.ค. จากท่องเที่ยว ทำกิจกรรม HealthServ
 

        11 กรกฎาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยจะเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่แล้ว แต่ยังสามารถพบการติดเชื้อและเกิดการระบาดเป็นระลอกเล็กๆ ได้ ซึ่งขณะนี้การระบาดมีแนวโน้มสูงขึ้น

ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์นี้ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องการหลายวัน ประชาชนอาจมีการไปท่องเที่ยว รวมกลุ่มทำกิจกรรมจำนวนมาก มีความเสี่ยงอาจทำให้การติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ ที่เป็นห่วงคือการนำเชื้อมาติดกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่อาจทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนยังต้องคงมาตรการป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่องและมารับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน
 
 
        “การปฏิบัติตัวในช่วงวันหยุดนี้ ขอให้ประชาชนยังคงเข้มมาตรการป้องกันตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงการติดและแพร่เชื้อ โดยขอให้เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น หากมีความเสี่ยงหรือมีอาการให้ตรวจด้วย ATK นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิด 19 โดยเฉพาะเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้ ซึ่งสามารถวอล์กอินเข้ารับบริการได้” นพ.เกียรติภูมิกล่าว




สธ.เผย จำนวนผู้ป่วย อัตราครองเตียง แนวโน้มเพิ่มขึ้น 


         นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 และการเดินช่วงวันหยุดให้ปลอดภัย ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยในช่วง 14 วันที่ผ่านมา พบการติดเชื้อและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นชัดเจน ในบางจังหวัดที่มีการติดเชื้อมาก คือ กทม. ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวขนาดใหญ่


จำแนกประเภทผู้ป่วย 
  • ผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มจาก 638 ราย เป็น 786 ราย
  • ใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นจาก 290 ราย เป็น 349 ราย

แต่ทั้งหมดยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ การคืนเตียงผู้ป่วยโควิดไปใช้รักษาโรคอื่น ทำให้อัตราครองเตียงเพิ่มขึ้น



จังหวัดที่มีอัตราครองเตียงเกิน 25% ได้แก่
  • นนทบุรี 42.6%
  • กทม. 38.2%
  • ชัยภูมิ 30.5%
  • ปทุมธานี 29.3%
  • สมุทรปราการ 29.8%
  • นครสวรรค์ 26%

 
 
         ทั้งนี้ การติดเชื้อจะเกิดขึ้นใน กทม. ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ก่อน แล้วค่อยกระจายไปจังหวัดเล็กจากเมืองกระจายไปชนบท

ดังนั้น ช่วงวันหยุดยาวอาจเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เกิดแพร่เชื้อไปต่างจังหวัดเร็วขึ้น

จึงต้องช่วยกันชะลอการแพร่เชื้อ เพราะหากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็ว จะมีผู้ที่ปอดอักเสบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอาจจะกระทบกับเตียงหรือยาที่ใช้ในการรักษาได้


 

สัญญาณเตือนปรับระดับมาตรการ


ขณะนี้สถานการณ์โควิดในไทย ยังคงระดับการเตือนภัยระดับ 2 อยู่ แต่หากมีแนวโน้มรุนแรง ก็พร้อมปรับระดับและปรับเพิ่มมาตรการ โดยพิจารณาจาก สัญญาณแจ้งเตือน คือ
  1. ผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เกิน 4 พันรายต่อวัน อาจต้องให้ใส่หน้ากาก 100% หรือเว้นระยะห่างมากขึ้น
  2. ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ เพิ่มขึ้นเป็น 400-500 รายต่อวัน อาจต้องปรับมาตรการการรักษาและให้ยาเร็วขึ้น และ
  3. ผู้เสียชีวิต เกิน 40 รายต่อวัน
     
 

 

ขอความร่วมมือประชาชนป้องกันตนเอง มาตรการ 2U

         นพ.จักรรัฐกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือประชาชนป้องกันตนเอง โดยใช้มาตรการ 2U ได้แก่
  • Universal Prevention คือ มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล 
  • Universal Vaccination คือ การฉีดวัคซีน
  •  
โดยยังสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มได้ เช่น การทำกิจกรรมทางศาสนา แต่ให้เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ อยู่ใกล้กลุ่มเสี่ยง 608





กลุ่มเสี่ยง 608 น่าเป็นห่วง


จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิต ช่วงวันที่ 3-9 กรกฎาคม 2565 จำนวน 132 ราย เป็นกลุ่ม 608 ถึง 97% และส่วนใหญ่ไม่รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น

ที่เหลือเป็น ผู้มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงเสียชีวิตสูง คือ โรคไตเรื้อรัง มะเร็ง อ้วน หลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดหัวใจ

ประกอบกับช่วงนี้มีการระบาดมากขึ้นของสายพันธุ์ BA.4/BA.5 และมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อซ้ำ

สธ. ขอเน้นย้ำ ให้กลุ่ม 608  ผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ และผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วย ควรมารับวัคซีนเข็มกระตุ้นทุก  3-4 เดือน เพราะหากเกินช่วงเวลาดังกล่าวภูมิคุ้มกันอาจ ไม่เพียงพอ ทำให้ป่วยหนักได้ 


หากกลุ่มเสี่ยง 608 มีอาการป่วย ผลตรวจ ATK เป็นบวก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับยา จะช่วยลดความเสี่ยงการป่วยหนักได้

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด