สารทึบรังสีชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด เป็นสารที่มีความจำเป็นในการแยกความแตกต่างของอวัยวะที่ต้องการตรวจกับอวัยวะที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ภาพจากการตรวจทางรังสีมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นสารทึบรังสีจึงเข้ามามีบทบาทในการตรวจทางรังสีหลายชนิด ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT ), การตรวจดูการทำงานของไต (Intravenous pyelography ), การถ่ายภาพรังสีหลอดเลือด ( Angiography / Venography ), การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI )
แต่เนื่องจากสารทึบรังสีอาจทำให้เกิดการแพ้หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งนับว่าเป็นการตรวจที่มีความเสี่ยงสูง และจากการศึกษาของ Katayama และคณะซึ่งได้รายงานไว้ใน Radiology 1990 พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารทึบรังสีชนิดแตกตัว ทั้งหมด 169,284 ราย มีปฏิกิริยาแพ้ 12.66 % และผู้ป่วยที่ได้รับสารทึบรังสีชนิดไม่แตกตัว ทั้งหมด 168,363 ราย มีปฏิกิริยาแพ้ 3.13 % สำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากการใช้สารทึบรังสีนั้นสามารถทำได้ทุกระยะ คือ ตั้งแต่ก่อน ขณะ และหลังการฉีดสารทึบรังสี หากพยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสารทึบรังสีเป็นอย่างดีแล้วผู้ป่วยก็จะได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และปลอดภัย
ประเภทของสารทึบรังสี
แบ่งได้หลายแบบตามสมบัติของสาร ได้แก่
1. แบ่งตามความทึบรังสี ( จามรี, 2538 : ชรินทร์, 2542)
1.1 สารทึบรังสีที่ทึบรังสีน้อยกว่าเนื้อเยื่อ ( Negative contrast media ) เป็นสารที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำ จึงมีความทึบรังสีหรือทึบแสงน้อยกว่าเนื้อเยื่อของร่างกาย สารเหล่านี้จะทำให้เกิดเป็นเงาทึบในภาพรังสี ได้แก่ อากาศ , ออกซิเจน , คาร์บอนไดออกไซด์ , ไนตรัสออกไซด์ ซึ่งปัจจุบันอากาศ ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ยังมีใช้กันอยู่ เนื่องจากหาได้ง่าย การดูด ซึมไม่เร็วจนเกินไป หากทำให้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ได้ และมีอันตรายน้อย ส่วนไนตรัสออกไซด์นั้น ราคาแพง ดูดซึมเร็วมาก จึงยังใช้กันไม่มาก
1.2 .สารทึบรังสีที่ทึบรังสีมากกว่าเนื้อเยื่อ ( Positive contrast media ) สารเหล่านี้เป็นสารที่มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่าเนื้อเยื่อของร่างกายทำให้เกิดเป็นเงาจางหรือขาวบนภาพรังสี ซึ่งในปัจจุบันสารทึบรังสีแทบทั้งหมดเป็นชนิดนี้
2. แบ่งตามสมบัติการละลาย (สมเกียรติ, 2538)
2.1 สารทึบรังสีที่ละลายน้ำ ได้แก่ สารทึบรังสีแทบทุกชนิดในปัจจุบัน
2.2 สารทึบรังสีที่ละลายในไขมัน ได้แก่ ริพิโอดอล (Lipiodol ®)
2.3 สารทึบรังสีที่แขวนลอยในน้ำ ได้แก่ แบเรี่ยมซัลเฟต (Barium sulphate)
3. แบ่งตามการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
3.1 สารทึบรังสีที่ดูดซึมได้ ได้แก่ สารทึบรังสีแทบทุกชนิดในปัจจุบัน
3.2 สารทึบรังสีที่ไม่ดูดซึม ได้แก่ แบเรี่ยมซัลเฟต (Barium sulphate)
4. แบ่งตามลักษณะการขับถ่าย เมื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว
4.1 ขับถ่ายออกทางไต สารทึบรังสีแทบทุกชนิดที่ดูดซึมได้ จะขับถ่ายออกทางไต มากกว่าร้อยละ 90
4.2 ขับถ่ายออกทางตับ ออกมาในรูปของอุจจาระ ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้แล้ว