จะเห็นได้ว่าการเกิดภาวะโรคอ้วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีแนวโน้มสูงขึ้น และยังพบว่าธุระกิจลดความอ้วนในไทยได้รับความนิยม เช่น คลินิคลดความอ้วน การโฆษณาต่างๆ การกินยาลดน้ำหนัก ซึ่งสิ่งเหล้านี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเมื่อเราอ้วน เราควรที่จะจำกัดการรับประทานอาหารหรือลดการบริโภคอาหาร บวกกับการออกกำลังกาย หากไม่ตั้งใจจริง ขาดความอดทน ไม่ปฏิบัติต่อเนื่องก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
คำว่า “อ้วน” มี2ความหมาย คือ น้ำหนักเกินหรือท้วม(Overweight) กับ โรคอ้วน(Obesity) โดยคำนวณจากค่าดัชชีมวลกาย (BMI) โรคอ้วน BMI > 30 กิโลกรัมตารางเมตร (เกณฑ์องค์การอนามัยโลก)
น้ำหนักเกินหรือท้วม หมายถึง ค่า BMI > 25 กิโลกรัมตารางเมตร
การคำนวณหาคาดัชนีมวลกาย (Body mass index)
BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม)
ความสูง (เมตร)²
สาเหตุหลักของความอ้วน
1.พันธุกรรม
2.การทำงานผิดปกติของต่อมโร้ท่อ
3.พฤติกรรมการกิน
4.ขาดการออกกำลังกาย
5.สาเหตุอื่น เช่น สภาพแวดล้อม
การวัดเส้นรอบเอว
ผู้ชาย เส้นรอบเอวไม่ควรเกิน 36 นิ้ว (90 ซ.ม.)
ผู้หญิง เส้นรอบเอวไม่ควรเกิน 32 นิ้ว (80 ซ.ม.)
รูปร่างอ้วนมี2รูปแบบ คือ Apple Shape และ Pear Shape
รูปร่าง แอปเปิ้ลเซฟ จะมีไขมันบริเวณหน้าท้องมากกว่าสะโพก
รูปร่าง แพร์เซฟ จะมีช่วงไหล่ และเอวที่เล็กกว่าสะโพก
การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร
รับประทานอาหารให้ครบ5หมู่ เป็นอาหารกลุ่มไขมันต่ำ
อาหารเผ็ดโดยเฉพาะพริก สามารถช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้
ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหลังเวลา18:00น.
ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
รับประทานอาหารเคี้ยวอาหารเช้าๆ
อย่านอนดึก
กำหนดพลังงานควรลดวันละ 300-500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
รับประทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ควรงดไขมัน
เพิ่มการออกกำลังกาย
หลีกเลี่ยงขนมหวาน ผลไม้ที่มีแป้งมาก เช่น ทุเรียน อาหารทอด อาหารมันมากๆ เพิ่มการรับประทานใยอาหาร ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
จำกัดการรับประทานอาหารกลุ่มข้าวแป้ง รับประทาน ข้าวกล้อง ข้าวไรเบอรี่ และจัดสัดส่วนให้เหมาะสม