สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดประชุมทาง Zoom และ Facebook Live เพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่ายกรณีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระบบหลักประกันสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2565 โดยมีตัวแทนหน่วยบริการจากทั่วประเทศเข้าร่วมรับฟัง
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการ สปสช. มีมติเห็นชอบให้ สปสช. ชดเชยค่าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแก่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ไม่สมัครใจเข้ารับบริการล้างไตทางช่องท้อง โดยมีผลเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นการป้องกันการล้มละลายของผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื่องจากเดิมผู้ป่วยที่ปฏิเสธการล้างไตทางช่องท้องแล้วต้องจ่ายเงินฟอกเลือดเอง และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ฝ่ายนโยบายจึงรับประเด็นมาหารือระหว่าง สปสช.และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และคณะกรรมการ สปสช. มีมติดังกล่าวในที่สุด
นพ.จเด็จ กล่าวว่า นอกจากเรื่องการจ่ายชดเชยค่าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแล้ว คณะกรรมการ สปสช. ยังคำนึงถึงการยกระดับคุณภาพบริการโดยใช้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง หรือ Patient Centered Care ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยมีความรู้เพียงพอที่จะร่วมตัดสินใจอนาคตหรือชีวิตตนเองในการรักษาบางอย่าง โดยพิจารณาจากคำแนะนำของแพทย์ในเรื่องพยาธิสภาพและความเหมาะสมของผู้ป่วย ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึง เศรษฐานะ ปัจจัยทางสังคม และค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าเดินทางจากบ้านมาที่หน่วยบริการด้วย
"สปสช. จะนำเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเข้าไปดูแลกลุ่มที่ต้องจ่ายเงินฟอกเลือดเอง แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องทยอยออกมาตรการมาเป็นระยะ เช่น การเร่งรัดการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อชะลอจำนวนผู้ป่วยใหม่ การต่อรองราคาในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบริการไตทั้งระบบ การเพิ่มประสิทธิภาพบริการรวมทั้งการเพิ่มใช้ยาในบัญชีนวัตกรรม เป็นต้น ขณะที่ สธ. จะให้ความร่วมมือในการเร่งผลิตบุคลากรและจำนวนหน่วยบริการให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนมากขึ้น" นพ.จเด็จ กล่าว
หลักเกณฑ์ รับค่าใช้จ่ายผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง
ด้าน นางเบญจมาส เลิศชาคร ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวถึง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอรับค่าใช้จ่ายกรณีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระบบหลักประกันสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 ที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยในส่วนของกรณีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด 8 ข้อ
คือ
1. ค่าบริการฟอกเลือด HD Self pay
เดิมผู้ป่วยต้องจ่ายค่าฟอกเลือด ส่วน สปสช. สนับสนุนยากระตุ้นเม็ดเลือดแดง (EPO)
เปลี่ยนเป็น สปสช.จ่ายค่าเตรียมเส้นเลือด ค่าฟอกเลือด และสนับสนุนยา EPO ทั้งหมด
2. ค่าบริการฟอกเลือด
เดิมจ่าย 1,500 บาท หรือ 1,700 บาท/ครั้ง ไม่เกิน 3 ครั้ง/สัปดาห์
เปลี่ยนเป็นจ่าย 1,500 บาท/ครั้ง และยกเลิกการจ่าย 1,700 บาท/ครั้ง
3. ค่าบริการฟอกเลือด อาจดำเนินการได้ 2 รูปแบบคือ
รูปแบบที่ 1 ค่าบริการฟอกเลือกเหมาจ่าย 1,500 บาท/ครั้ง และฟอกเลือดกรณี HIV เหมาจ่าย 4,000 บาท/ครั้ง
รูปแบบที่ 2 ค่าบริการฟอกเลือดเหมาจ่าย 1,300 บาท/ครั้ง และ สปสช. ส่งตัวกรองแบบ Single Use Dialyzer (High flux หรือ Low flux) Blood line และ เข็ม ผ่านระบบ VMI
4. ค่าบริการฟอกเลือด
กรณีผู้ป่วยโควิด-19 จ่ายค่าชุด PPE สำหรับเจ้าหน้าที่หน่วยไตเทียม จ่ายตามจริงไม่เกินชุดละ 500 บาท ไม่เกิน 2 ชุดต่อผู้ป่วย 1 ราย มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ส.ค. 2564
5. ระบบการพิสูจน์การเข้ารับบริการ
ผู้ป่วยฟอกเลือดต้องมีการพิสูจน์ตัวตนด้วยการขอ Authentication code ก่อนเข้ารับบริการ
6.เกณฑ์การใช้ยา EPO
จากเดิมหากระดับ Hematocrit (Hct) ≤ 30% จ่าย 2 vial/สัปดาห์ หากระดับ Hct > 30% จ่าย 1 vial/สัปดาห์
เปลี่ยนเป็น
เริ่มให้ยาเมื่อ Hct < 30% จากนั้น Hct <33% จ่าย 2 vial/สัปดาห์ Hct ≥ 33% จ่าย 1 vial/สัปดาห์ และ Hct ≥ 36% หยุดจ่ายยา EPO
7.การสนับสนุนยา EPO สปสช.จะสนับสนุนยา EPO ที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรม
8.ค่าบริการสำหรับการเตรียมเส้นเลือด
8.1 Tunnel cuffed catheter เดิมเบิกตามจริงไม่เกิน 12,000 บาท 1 ครั้ง/ปี เปลี่ยนเป็น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตามความจำเป็น และไม่ต้องอุทธรณ์
8.2 AVF เดิมเบิกตามจริงไม่เกิน 8,000 บาท 1 ครั้ง/ปี เปลี่ยนเป็น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตามความจำเป็น และไม่ต้องอุทธรณ์
8.3 AVG เดิมเบิกตามจริงไม่เกิน 8,000 บาท และค่า graft ไม่เกิน 14,000 บาท 1 ครั้ง/ปี เปลี่ยนเป็น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตามความจำเป็น และไม่ต้องอุทธรณ์ และ
8.4 Temporary double lumen catheter เดิมเบิกตามจริงไม่เกิน 5,000 บาท 1 ครั้ง/ปี เปลี่ยนเป็น ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตามความจำเป็น และไม่ต้องอุทธรณ์