วันที่ 28 ตุลาคม 2565 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ. ธรากร เลิศพรเจริญ,
พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง, พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์, พ.ต.อ.สมเกียรติ ตันติกนกพร รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ภญ.วรสุดา ยูงทอง ผู้อำนวยการกองยา และสภาเภสัชกรรม โดย ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 ร่วมกันแถลงผลงานจับกุมกวาดล้างเครือข่ายร้านขายยาลักลอบขายยาแก้ไอให้เยาวชน จับกุมผู้ต้องหา 20 ราย พร้อมยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกว่า 35 รายการ มูลค่าของกลางกว่า 2,400,000 บาท
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับการประสานงานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนร้านขายยาที่มีพฤติการณ์ใช้พนักงานขายยาที่ไม่ใช่เภสัชกร ขายยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยาแคปซูลเขียวเหลืองให้กลุ่มเยาวชนเพื่อเป็นส่วนผสมยาเสพติดชนิด 4x100 อีกทั้งสภาเภสัชกรรมได้ประชุมหารือกับ กก.4 บก.ปคบ. และแถลงจุดยืนเน้นย้ำให้ร้านขายยาทุกร้านจะต้องมีเภสัชกรประจำโดยจะดำเนินการกับเภสัชกรแขวนป้าย กก.4 บก.ปคบ. จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้าตรวจสอบเครือข่ายร้านขายยาที่ทำผิดกฎหมายรายใหญ่ 3 เครือข่าย รายละเอียดดังนี้
1. เครือข่ายร้านขายยานายธนกฤต (สงวนนามสกุล) วันที่ 15 กันยายน 2565 ตรวจค้นร้านขายยาและสถานที่จัดเก็บยาซึ่งดัดแปลงจากร้านขายยาเก่าที่ถูกระงับใบอนุญาต ในพื้นที่ แขวงสายไหม จำนวน 2 จุด พบของกลางเป็นยายี่ห้อแพคมาดอล PACMADOL® ซึ่งมีสถานะยกเลิกทะเบียนตำรับยา(ยาปลอม) จำนวน 4,000 เม็ด, ยาเขียวเหลือง(ทรามาดอล) จำนวน 166,550 แคปซูล, ยาแก้แพ้แก้ไอชนิดน้ำเชื่อม จำนวน 20,047 ขวด รวมของกลางซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 7 รายการ มูลค่าของกลางกว่า 2,000,000 บาท จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย โดยพนักงานขายยาในร้านถูกดำเนินคดีในข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯ โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” และดำเนินคดีกับ นางโชติกา (สงวนนามสกุล) และ นายธนกฤต (สงวนนามสกุล) ในข้อหา “ร่วมกันขายยาปลอม และร่วมกันย้ายสถานที่เก็บยาโดยไม่ได้รับอนุญาต”
จากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีร้านขายยาในเครือข่ายเดียวกันที่มีนายธนกฤตฯ เป็นเจ้าของ จำนวน 14 ร้าน ต่อมาระหว่างวันที่ 12 - 15 ตุลาคม 2565 จึงร่วมกับ อย. ตรวจค้นร้านขายยาเครือข่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ และ จ.ปทุมธานี จำนวน 8 จุด จับกุมผู้ขายยาที่ไม่ใช่เภสัชกร 8 ราย ดำเนินคดีในข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ตรวจยึดของกลางเป็นยาแก้แพ้แก้ไอ 12 ขวด, และยาที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 9 รายการ
2. เครือข่ายร้านขายยานายธนเทพ (สงวนนามสกุล) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ตรวจค้นร้านขายยาในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 4 จุด จับกุมผู้ขายยาที่ไม่ใช่เภสัชกร 4 ราย ในข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯ โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ซึ่งร้านขายยาทั้ง 4 ร้าน มีกลุ่มเครือข่ายร้านขายยาของนายธนเทพฯ เป็นเจ้าของ ตรวจยึดของกลางเป็นยาแก้แพ้แก้ไอชนิดน้ำเชื่อม 5,500 ขวด, ยาเขียวเหลือง(ทรามาดอล) 26,500 แคปซูล ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 7 รายการ มูลค่าของกลางกว่า 400,000 บาท
3. เครือข่ายร้านขายยา นายคมพิศิษฐ์ (สงวนนามสกุล) วันที่ 27 ตุลาคม 2565 ได้ร่วมกับ อย. ตรวจค้นร้านขายยาในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 5 จุด จับกุมผู้ต้องหา 5 ราย ดำเนินคดีข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯ โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ตรวจยึดของที่กลางเป็นยาแก้แพ้แก้ไอชนิดน้ำเชื่อม 18,590 ขวด, ยาเขียวเหลือง(ทรามาดอล) 2,020 แคปซูล และยาซิเดกร้า 60 เม็ด ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 จำนวน 13 รายการ
รวมตรวจค้น 19 จุด จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 20 ราย ดำเนินคดีข้อหา “ร่วมกันขายยาปลอม และร่วมกันย้ายสถานที่เก็บยาโดยไม่ได้รับอนุญาต” จำนวน 2 ราย ดำเนินคดีในข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯ โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” จำนวน 18 ราย โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมข้อหาขายยาโดยไม่ใช่เภสัชกร และไม่มีความรู้ด้านเภสัชกรรมแต่อย่างใด ซึ่งจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 3 ราย, มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 ราย, มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4 ราย, ปวส. จำนวน 3 ราย, ปริญญาตรี จำนวน 5 ราย ตรวจยึดของกลางเป็นยาแก้แพ้แก้ไอ 44,149 ขวด, ยาเขียวเหลือง(ทรามาดอล) 195,070 แคปซูล, ยายี่ห้อแพคมาดอล PACMADOL® ซึ่งมีสถานะยกเลิกทะเบียนตำรับยา(ยาปลอม) จำนวน 4,000 เม็ด และยาซิเดกร้า 60 เม็ด ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 จำนวน 35 รายการ ซึ่งกลุ่มเครือข่ายทั้ง 3 ราย มีรูปแบบการกระทำความผิดในลักษณะขออนุญาตเปิดร้านขายยาหลายแห่งเพื่อจะได้รับโควต้าในการซื้อยาแก้แพ้ ยาแก้ไอในปริมาณมาก และมุ่งเน้นขายเฉพาะกลุ่มเยาวชน และขายมากกว่า 3 ขวดต่อครั้ง (เกินที่กฎหมายกำหนด) เพื่อนำไปใช้ในการผสมสารเสพติดชนิด 4x100 จึงร่วมกับจับกุมผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
กรณีผู้รับอนุญาตหรือผู้ดำเนินกิจการร้านขายยา(เจ้าของร้านขายยา) ที่ขออนุญาตเปิดร้านขายยา โดยมีพฤติการณ์ขายยาแก้แพ้แก้ไอและยาเขียวเหลืองให้กับเยาวชน เบื้องต้นมีความผิดฐาน “ไม่จัดทำบัญชียาที่ซื้อและขายตามที่กำหนดฯ, และขายยาอันตรายในระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่” ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะได้เสนอคณะกรรมการยาพักใช้ใบอนุญาตต่อไป
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510
1.1 มาตรา 26(6) ฐาน “ไม่จัดทำบัญชียาที่ซื้อและขายตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ระวางโทษปรับ 2,000 - 10,000 บาท
1.2 มาตรา 32 ฐาน “ขายยาอันตรายในระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่” ระวางโทษปรับ 1,000 - 5,000 บาท
1.3 มาตรา 30 ฐาน “ย้ายสถานที่เก็บยาโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษปรับ 1,000 - 3,000 บาท
1.4 มาตรา 72(1) ฐาน “ขายยาปลอม” ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 10,000 บาท
2. พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2537 มาตรา 28 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. กล่าวว่า การปลดล็อก “พืชกระท่อม” ออกจากยาเสพติดประเภท 5 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คนบางกลุ่มโดยเฉพาะเยาวชนใช้โอกาสนำเอาน้ำกระท่อมไปใช้เป็นส่วนผสมกับยาแก้แพ้แก้ไอ หรือยาแก้ปวดในลักษณะสารเสพติดที่เรียกว่า “4x100” แล้วนำมาดื่มเพื่อให้เกิดอาการมึนเมา เสียสุขภาพและอาจก่อเกิดเหตุอาชญากรรมสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนตามมา โดยร้านขายยาเป็นสถานที่ซึ่งมีเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาสุขภาพได้สะดวกและต้องได้รับคำแนะนำจากผู้มีความรู้ทางเภสัชกรรม ไม่ใช่สถานที่ที่ใช้เพื่อใช้ช่องว่างในการอำนวยความสะดวกให้เยาวชนเข้าถึงยาเสพติดง่ายขึ้น บก.ปคบ.จะดำเนินกวดขันจับกุมร้านขายยารวมถึงเครือข่ายที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายในการขออนุญาตเปิดร้านขายยาเพื่อหวังโควต้าในการซื้อยาแก้ไอ แก้แพ้ในปริมาณสูงแล้วนำยาดังกล่าวไปขายแก่กลุ่มเยาวชน เพื่อตัดตอนการเข้าถึงยาเสพติดชนิด 4x100 ให้ถึงที่สุด และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนทั่วไปหากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค
ภญ.วรสุดา ยูงทอง ผู้อำนวยการกองยา กล่าวว่าจากการตรวจสอบเครือข่ายร้านขายยากลุ่มเสี่ยงร่วมกับ บก.ปคบ. พบร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตมีผู้ดำเนินกิจการเป็นชื่อเดียวกันและเปิดเป็นเครือข่ายหลายร้านโดยมีพฤติการณ์ในการขายยาแก้แพ้ แก้ไอและยาแก้ปวดทรามาดอลให้แก่กลุ่มวัยรุ่น เพื่อนำมาผสมเป็น 4×100 หรือนำมาผสมกับน้ำอัดลม และอาจผสมกับยาบางชนิดใช้สำหรับดื่มเพื่อความมึนเมาและเสพติดเป็นการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด มอมเมาประชาชนและเกิดปัญหาต่อสังคมตามมา
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีประกาศ เรื่อง การควบคุมการจำหน่ายยาน้ำแก้ไอที่มีส่วนประกอบของไดเฟนไฮดรามีน หรือโปรเมทาซีน หรือเดกซ์โตรเมธอร์แฟน โดยจำกัดปริมาณการขายยาแก้ไอที่มีส่วนประกอบของยาทั้ง 3 ดังกล่าว จากผู้ผลิตไปยังร้านขายยาไม่เกิน 300 ขวดต่อแห่งต่อเดือน และจำกัดปริมาณการขายยาให้แก่ประชาชนครั้งละไม่เกิน 3 ขวด เพื่อป้องกันการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด นอกจากนี้ผู้รับอนุญาตและเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการมีหน้าที่จัดทำบัญชีซื้อและขายยาให้เป็นจริง หากพบร้านขายยาใดฝ่าฝืนการกระทำความผิดซ้ำ จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และพักใช้ใบอนุญาตขายยาจนกว่าคดีถึงที่สุด รวมทั้งแจ้งสภาเภสัชกรรมดำเนินการกับเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการต่อไป จึงขอเตือนผู้รับอนุญาตและเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายและประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ การดำเนินงานในครั้งนี้ อย. จะดำเนินการตามกฎหมายและมาตรการทางปกครองอย่างถึงที่สุด ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th หากพบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 กล่าวว่า ปัจจุบันยังพบว่ามีการจับกุมร้านขายยาที่ลักลอบขายยาแก้ไอ, ยาทรามาดอลให้กับเยาวชนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เอาไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อการเสพติด และผู้ขายยาก็ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้เรื่องยาโดยตรง ซึ่งก็จะมีความผิดทั้งใน พรบ.ยา พ.ศ. 2510 คือขายยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ ระหว่างที่เภสัขกรไม่อยู่ แม้อาจจะมีเพียงโทษปรับก็ตาม แต่ลักษณะการขายยาดังกล่าว จะเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2537 ด้วย คือ ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม (การขายยา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีโทษสูง ปรับ 30,000 บาท หรือจำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้ที่แอบจ่ายยาโดยไม่ใช่เภสัชกร จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ และกรณีนี้เภสัชกรที่เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในร้านต่าง ๆ เหล่านี้ หากไม่ได้อยู่ปฏิบัติการตลอดเวลาที่เปิดทำการ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ขายยากลุ่มเสี่ยงดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เภสัชกรในฐานะผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการได้มีการควบคุมกำกับเกี่ยวกับการขายยา การส่งมอบยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ หรือมีการปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลไม่ให้มีการขายยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่หรือไม่อย่างไร หรืออาจเข้าข่ายการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นความผิดทางจรรยาบรรณได้ โดยมีโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม เป็นระยะเวลา 2 ปี ดังนั้นจึงขอให้เภสัชกรที่ไม่ได้อยู่ประจำตลอดเวลาต้องระมัดระวัง และสอดส่องกำกับดูแลให้มีการขายยาให้ถูกต้องตามที่ พรบ.ยา พ.ศ. 2510 กำหนด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน