ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

บริการส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยบัตรทอง - เริ่มต้นจากยุคฉุกเฉิน ต่อยอดสู่พื้นฐานยุค New Normal

บริการส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยบัตรทอง - เริ่มต้นจากยุคฉุกเฉิน ต่อยอดสู่พื้นฐานยุค New Normal Thumb HealthServ.net
บริการส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยบัตรทอง - เริ่มต้นจากยุคฉุกเฉิน ต่อยอดสู่พื้นฐานยุค New Normal ThumbMobile HealthServ.net

ปี 2565 สปสช.ให้บริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ กว่า 5.5 แสนครั้ง แสดงให้เห็นอย่างชัดว่าเป็นบริการที่อำนวยประโยชน์ สร้างความสะดวก สอดคล้องวิถีชีวิตใหม่ New Normal อย่างยิ่ง ที่สำคัญช่วยแบ่งเบาภาระ ลดปัญหาและต้นทุนให้กับผู้ป่วยอย่างมาก


“บริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ แม้ว่าเป็นบริการฉุกเฉินที่เกิดในช่วงภาวะโรคระบาด แต่ด้วยประโยชน์ที่เกิดกับผู้ป่วย สปสช. จึงนำมาสู่การต่อยอดและพัฒนาระบบบริการที่ช่วยเพิ่มสะดวกในการเข้าถึงบริการให้กับผู้ป่วย พร้อมรองรับการจัดระบบบริการที่สอดคล้องวิถีชีวิตใหม่ New Normal และด้วยจำนวนการรับบริการปีละกว่า 5 แสนครั้งต่อปี นั่นหมายถึงการช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายเดินทางให้กับผู้ป่วย รวมถึงลดความแออัดในโรงพยาบาล”  

                คำอธิบายชัดเจน จาก นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ถึงจุดเริ่มต้นของบริการส่งยาทางไปรษณีย์ และพัฒนาการจนมาสู่ปัจจุบัน


                บริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ ของสปสช. เป็นหนึ่งในนโยบายยกระดับ “การให้บริการรูปแบบวิถีชีวิตใหม่” (New Normal) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” โดยเกิดขึ้นในปี 2563 ช่วงเกิดวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อให้กับผู้ป่วยและลดการแพร่ระบาดของโรค โดย สปสช. ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนดำเนินการ และร่วมกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการวางระบบจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้ถึงมือผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว พร้อมได้รับความร่วมมือจากหน่วยบริการ
บริการส่งยาถึงบ้านผู้ป่วยบัตรทอง - เริ่มต้นจากยุคฉุกเฉิน ต่อยอดสู่พื้นฐานยุค New Normal HealthServ


2 ปีของความสำเร็จ


 
               ทั้งนี้กว่า 2 ปี ที่ผ่านมา นโยบายเพื่อบริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ปรากฏว่าได้รับการตอบรับด้วยดี ทั้งจากผู้ป่วยและหน่วยบริการเอง นอกจากลดเวลาการรอรับยาให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล รวมทั้งเป็นการวางระบบการให้บริการทางการแพทย์ในรูปแบบวิถีชีวิตใหม่อย่างครบวงจร อย่างการจัดระบบบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) พร้อมการส่งยาและเวชภัณฑ์ให้กับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับยาต่อเนื่อง


ตัวเลขสถิติบ่งบอกความสำเร็จ



               นพ.จเด็จ เปิดเผยข้อมูลสถิติการบริการ จากการรายงานข้อมูลบริการผ่านระบบแดชบอร์ดของ สปสช. (NHSO Dashboard) พิจารณาตามกรอบปีงบประมาณ มีข้อมูลที่น่าสนใจ และบ่งบอกถึงความสำเร็จ ในหลายประการ


ปีงบประมาณ 2564–2565 
  • มีโรงพยาบาลที่ร่วมบริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ จำนวน 265 แห่ง
  • มีผู้ป่วยรับบริการ 729,964 คน
  • คิดเป็นจำนวนครั้งของการส่ง 1,249,415 ครั้ง
  • คิดเป็นเงินจำนวน 62,445,356 บาท
 


ข้อมูลในปีงบประมาณ 2565
  • มีโรงพยาบาลที่ร่วมบริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์จำนวน 219 แห่ง
  • มีผู้ป่วยรับบริการจำนวน 291,305 คน
  • คิดเป็นจำนวนครั้งของการส่ง 549,092 ครั้ง
  • เป็นงบประมาณจำนวน 27,429,776 บาท 

เมื่อแยกข้อมูลการบริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์ตามกลุ่มโรค 10 อันดับแรก ได้แก่
  • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 66,936 ราย
  • เบาหวาน 35,555 ราย
  • เอชไอวี 12,479 ราย
  • หอบหืด 7,310 ราย
  • ปอดอุดกั้นเรื้อรัง 5,568 ราย
  • ต่อมลูกหมากโต 5,568 ราย
  • สมาธิสั้น 4,499 ราย ลมชัก 4,281 ราย
  • โรคหัวใจ 4,234 ราย
  • จิตเวชเรื้อรัง 3,538 ราย


สำหรับ 5 จังหวัดที่ให้บริการส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์มากที่สุด คือ
  • จังหวัดเชียงราย 107,531 ราย
  • กรุงเทพ 104,614 ราย
  • สุราษฎร์ธานี 68,414 ราย
  • เชียงใหม่ 68,235 ราย
  • บุรีรัมย์ 49,559 ราย


ส่วนโรงพยาบาลที่ร่วมบริการจัดส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์สูงสุด 5 อันดับแรก คือ
  • รพ.สวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี 33,285 ครั้ง ดูแลผู้ป่วย 7,319 ราย
  • รพ.พาน จ.เชียงราย 30,001 ครั้ง ดูแลผู้ป่วย 14,610 ราย
  • รพ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี 18,845 ครั้ง ดูแลผู้ป่วย 6,638 ราย
  • รพ.ชัยภูมิ 17,589 ครั้ง ดูแลผู้ป่วย 8,165 ราย
  • รพ.สกลนคร 17,101 ครั้ง ดูแลผู้ป่วย 7,140 ราย

 

ต่อเนื่องสู่ปีงบประมาณ 2566


นพ.จเด็จ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2566 นี้ สปสช. ยังคงสนับสนุนการบริการจัดส่งยาให้ผู้ป่วยทางไปรษณีย์อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นบริการที่เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโดยตรง รองรับวิถีชีวิตใหม่ ในยุคที่การสื่อสารมีความก้าวหน้า รวมถึงระบบการขนส่ง ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไกลที่เสียเวลาและค่าใช้จ่าย แต่สามารถเข้าถึงบริการ ได้รับการดูแลรักษาอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน

 
สิทธิประโยชน์ใหม่ที่ สปสช. ได้ดำเนินการเพิ่มเติมให้กับประชาชนใน ปีงบประมาณ 2566 ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 นี้ ได้แก่ 
 
  • การดูแลภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn) เป้าหมายบริการจำนวน 320 ราย
  • บริการทันตกรรม Vital Pulp Therapy หรือการรักษาเนื้อเยื่อในฟันกรามแท้ จำนวน 56,300 ราย
  • บริการรากฟันเทียม จำนวน 15,200 ราย
  • บริการห้องฉุกเฉินคุณภาพภาครัฐ จำนวน 53,184 ราย
  • ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ จำนวน 48,554 ราย
  • บริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 27,000 ราย
  • เพิ่มยาจำเป็นแต่มีราคาแพง ในกลุ่มบัญชียา จ (2) จำนวน 14 รายการ ดูแลผู้ป่วย 9,634 ราย
  • บริการดูแลผู้ป่วยกึ่งเฉียบพลัน จำนวน 30,283 ราย
  • บริการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับพิษ จำนวน 7,598 ราย 
  • เพิ่มเติมบริการที่คลินิกการพยาบาลฯ กายภาพบำบัด คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรม และคลินิกทันตกรรม 2,002,295 ราย รวมถึงบริการ Home Ward 
 
 
ในด้านบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในปี 2566 นี้  สปสช. ได้เพิ่มเติมบริการ ได้แก่
 
  • การตรวจไวรัสตับอักเสบบี (HBe Ag) ในหญิงตั้งครรภ์
  • บริการคัดกรองธาลัสซีเมียในสามีหรือคู่ของหญิงตั้งครรภ์ทุกราย 
  • บริการคัดกรองซิฟิลิสในสามีหรือคู่ของหญิงตั้งครรภ์ทุกราย 
  • บริการสายด่วนเลิกบุหรี่และสายด่วนสุขภาพจิต 
  • บริการคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 
  • บริการคัดกรองมะเร็งและมะเร็งช่องปาก 
  • บริการคัดกรองผู้ป่วยโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกด้วยเครื่อง Tandem mass spectrometry (TMS) ในเด็กแรกเกิด 
  • บริการคัดกรองและค้นหาวัณโรคในกลุ่มเสี่ยงสูง 
  • บริการตรวจยีน BRCA1/BRCA2 ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเสี่ยงสูงและญาติสายตรงที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์
 
 
 
ในด้านการพัฒนาการบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการ ในปี 2566 นี้ สปสช. ได้เพิ่มเติมบริการ ได้แก่
 
  • บริการโรคโควิด-19 จากเดิมที่แยกการบริการจัดการโดยใช้งบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงินฯ ที่ปรับให้อยู่ในงบบัตรทองที่ครอบคลุมทั้ง บริการโควิดผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน การป้องกันและการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19
  • การเดินหน้ายกระดับบัตรทองอย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่มการเข้าถึงยา ทั้งยารักษามะเร็ง และยาที่มีส่วนผสมของกัญชา (บัญชียาหลักแห่งชาติ)
  • เพิ่มการเข้าถึงบริการเบาหวานชนิดที่ 2 และความดันโลหิตสูงโดยปรับการจ่ายตามรายการบริการ
  • เพิ่มสัดส่วนสมทบกองทุน
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับจังหวัดตามความพร้อมแต่ละพื้นที่ 
  • เพิ่มบริการผ่าตัดข้อเข่าและผ่าตัดต้อกระจกที่เปิดให้มีการปรับเป้าหมายตามบริบทพื้นที่เช่นกัน
  • ปรับปรุงการบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง มีการปรับการจ่ายที่เป็นไปตามแผนการดูแลแต่ละบุคคล (Care plan) พร้อมตัดรอบการจ่ายทุก 15 วัน
  • ปรับบริการไตวายเรื้อรังที่ให้ดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง พร้อมเพิ่มทางเลือกจ่ายชดเชยเป็นเงินสำหรับน้ำยาล้างไตและยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง (EPO)


ข้อมูลและภาพ ข่าวประชาสัมพันธ์ สปสช.

 

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด