ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการวามรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากการที่มีการกล่าวอ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าสามารถใช้เลิกบุหรี่ได้ และเป็นเหตุให้อัตราการสูบบุหรี่ลดลงในปี พ.ศ.2564 นั้น
หากพิจารณาข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2534-2564 จะพบว่าอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่จะมีบุหรี่ไฟฟ้าลักลอบเข้ามาใช้ในประเทศไทยราวปีพ.ศ.2550 จึงมีการพยายามป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยออกกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในปีพ.ศ.2557
"ในทางตรงข้าม กราฟจำนวนคนสูบบุหรี่ แม้จะลดลงแต่ความชันของการลดก็ลดลงด้วยตั้งแต่ปี 2550 ด้วย สะท้อนว่าบุหรี่ไฟฟ้าน่าจะเป็นสาเหตุทำให้การลดอัตราการสูบบุหรี่ชะลอตัวลงกว่าที่ควรจะเป็น" ผศ.นพ.วิชช์กล่าว
เยาวชนหน้าใหม่คือเป้าหมาย
สอดคล้องกับข้อมูลของ Euromonitor ที่พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่บุหรี่ไฟฟ้าจะมีการจำหน่ายในปี ค.ศ.2014 นั่นจึงเป็นเหตุผลให้อุตสาหกรรมยาสูบข้ามชาติ ต้องหาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อชักจูงคนที่เลิกสูบบุหรี่ และเยาวชนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ให้หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อคงลูกค้ายาสูบต่อไป
"ทั้งนี้ NASEM (National Academies of Science, Engineering and Medicine, USA) ได้รายงานว่า 80% ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่จะหันมาติดบุหรี่ไฟฟ้าแทน ในขณะที่กลุ่มที่ใช้วิธีอื่นเพื่อเลิกบุหรี่ (Nicotine Replacement Therapy, NRT) มีเพียง 9% ที่ยังสูบบุหรี่ บ่งชี้ว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้หยุดนิโคติน เป็นเพียงหันมาเสพนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าแทน และสรุปว่ากลยุทธการใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาเลิกบุหรี่มวนในผู้ใหญ่ต้องแลกด้วยการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนซึ่งเป็นนักสูบหน้าใหม่ ยังไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน
ซึ่งงานวิจัยชี้ชัดว่า นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อปอด หัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะจะทำลายสมอง ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จนถึงอายุ 25 ปี"
ไทยไม่ควรยกเลิกห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้า
ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าวว่า ประเทศไทยจึงไม่ควรยกเลิกกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะนั่นต้องแลกกับอนาคตของเยาวชน ซึ่งอาจจะเข้ามาเป็นนักสูบหน้าใหม่ได้ ดังบทเรียนที่กำลังมีวิกฤตการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนของประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และนิวซีแลนด์ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่อนุญาตให้มีบุหรี่ไฟฟ้าทั้งสิ้นแม้จะห้ามขายในเยาวชน
ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดของประเทศไทยคือ "ห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องเยาวชนไทยอย่างแท้จริง" โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวด และประเทศไทยควรเร่งเข้าร่วม "พิธีสารเพื่อกำจัดการค้าที่ผิดกฎหมายในผลิตภัณฑ์ยาสูบ" (Protocol to Eliminate Illicit Trade in Tobacco Products) ในกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ซึ่งการเข้าร่วมพิธีสารฯ จะเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศในการติดตามและตรวจสอบ (Track and Trace) ตั้งแต่ต้นทางการผลิต การกระจายสินค้า จนไปถึงร้านค้าปลีก โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายและได้รับความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการกำจัดต้นเหตุของการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมายจากอุตสาหกรรมยาสูบข้ามชาติ