ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

คำแนะนำการฝากครรภ์ ข้อควรปฏิบัติ อาการต่างๆที่ปกติ-ผิดปกติที่ควรรู้

คำแนะนำการฝากครรภ์  ข้อควรปฏิบัติ อาการต่างๆที่ปกติ-ผิดปกติที่ควรรู้ HealthServ.net
คำแนะนำการฝากครรภ์  ข้อควรปฏิบัติ อาการต่างๆที่ปกติ-ผิดปกติที่ควรรู้ ThumbMobile HealthServ.net

หญิงมีครรภ์ทุกท่านควรรีบฝากครรภ์เสียแต่เนิ่นๆ คือไม่ควรเกิน3เดือน นับจากมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย เพื่อให้แน่ใจว่าท่านตั้งครรภ์ปกติ และบุตรในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์


แพทย์จะตรวจสุขภาพท่านว่ามีโรคแทรกซ้อนใดๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง และกามโรค เป็นต้น
 
 
บริการที่ท่านจะได้รับเมื่อฝากครรภ์
 
1.ท่านจะได้รับการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะ
 
2.แพทย์หรือพยาบาลจะซักประวัติเกี่ยวกับการขาดระดู อาการแพ้ท้อง เด็กดิ้น ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติการตั้งครรภ์ และการคลอดครั้งก่อนๆ ตลอดจนประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัวและการแพ้ยาต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลแก่สูติแพทย์ และมีประโยชน์ในการดูแลท่านระหว่างตั้งครรภ์และคลอด
 
3.ท่านจะได้รับการตรวจครรภ์ และการตรวจร่างกายอย่างละเอียดจากสูติ-นรีแพทย์ รวมทั้งการคาดคะเนกำหนดคลอดให้ท่านด้วย ซึ่งโดยทั่วไปจะคลอดในระยะ 1-2 สัปดาห์ ก่อนหรือหลังการคาดคะเนได้
 
4.สูติแพทย์จะให้คำแนะนำหรือตอบปัญหา เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตนในระหว่างตั้งครรภ์ ให้ยาบำรุงหรือยาอื่นๆ ที่จำเป็นให้และนัดวันตรวจครั้งต่อไประยะๆ
 
5.การไปรับการตรวจครั้งต่อไปจะกำหนดให้คร่าวๆ ดังนี้
 
-ตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรกถึงครรภ์ 7 เดือน ควรไปตรวจเดือนละครั้ง
 
-ระหว่างครรภ์ 7 เดือน ถึง 8 เดือน ควรไปตรวจทุก 2 สัปดาห์
 
-ครรภ์เดือนสุดท้าย ควรไปตรวจสัปดาห์ละครั้ง ถ้าการตรวจครรภ์ผิดปกติ เช่น มีโรคแทรกซ้อน แพทย์อาจจัดให้ท่านไปตรวจบ่อยกว่าที่กำหนด
 

สิ่งที่ควรปฏิบัติในระหว่างตั้งครรภ์       
            
 
1.การรับประทานอาหาร ท่านควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โยเฉพาะจำพวกโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ เนื้อปลา นม ไข่ ตับ และวิตามินและเกลือแร่แล้ว ยังช่วยไม่ให้ท้องผูกอีกด้วย สำหรับอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ท่านไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารมากเพราะจะทำให้หนักตัวเพิ่มมากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและคลอดยาก
 
2.การพักผ่อนและการออกกำลังกาย ท่านควรนอนพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง หรือมากกว่านี้ การเดินเล่นหรือทำงานบ้านเบาๆ เป็นการออกกำลังกายที่ดีมาก การทำงานนอกบ้านหรือเดินทางไกล ไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ ถ้าไม่ทำให้ท่านอ่อนเพลียจนเกินไป ควรมีการนอนพักระหว่างวันในช่วงบ่าย ประมาณ15 – 30 นาที เพื่อไม่ให้อ่อนเพลียเกินไป
 
3.สุขภาพฟัน ท่านควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจและรักษาฟันของท่านเพราะในระหว่างตั้งครรภ์ฟันของท่านจะผุง่าย การอุดฟันหรือถอนฟัน ถ้าทันตแพทย์เห็นสมควร จะไม่มีอันตรายแก่บุตรในครรภ์
 
4.การรักษาความสะอาดของร่างกายและเต้านม ท่านควรอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และสวมเสื้อผ้าที่สะอาด ไม่รัดแน่นจนเกินไป ถ้ามีน้ำใสๆ ออกมาจากหัวนม ควรล้างออกด้วยน้ำสบู่อย่างอ่อนทุกครั้งที่อาบน้ำ สำหรับท่านที่หัวนมสั้นหรือบอด ควรดึงหัวนมทุกครั้ง เพื่อช่วยให้หัวนมยาวขึ้น และสะดวกในการให้นมบุตรต่อไป
 

สิ่งที่ท่านควรละเว้น     
                                            
 
1.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด หรือดื่มน้ำชา กาแฟ แอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ควรสูบบุหรี่
 
2.ไม่ควรออกกำลังกาย อย่าหักโหมหรือทำงานหนักที่จะทำให้ท่านรู้สึกอ่อนเพลียมากเกินไป
 
3.ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
 
4.ไม่ควรล้าง สวนช่องคลอดด้วยน้ำหรือน้ำยาใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากแพทย์จะสั่งเท่านั้น
 
5.สามารถร่วมเพศได้ ยกเว้นในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์หรือในกรณีที่ผิดปกติ เช่น มีเลือดออกหรือเมื่อแพทย์สั่งห้าม
 
6.ไม่ควรฉายเอกซเรย์ นอกจากในกรณีที่แพทย์จะเห็นสมควร
 
 
อาการธรรมดาต่างๆ ที่ท่านอาจจะพบในระหว่างตั้งครรภ์
 
1.อาการแพ้ท้องพบได้เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ท่านไม่ต้องวิตก วิธีแก้ไขง่ายๆ คือ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยๆ ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างแพทย์อาจให้ยาแก้แพ้ ซึ่งไม่มีอันตรายในกรณีที่ท่านมีอาการมาก
 
2.อาการแน่นท้องและท้องอืด เกิดจากการย่อยอาหารไม่ดี กระเพาะอาหารและลำไส้เคลื่อนไหวน้อยลงท่านควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส เช่น ของดอง ถั่ว น้ำอัดลม ควรออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเล่น ระวังอย่าให้ท้องผูก โดยดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ให้มาก
 
3.อาการปวดศีรษะและวิงเวียน แก้ไขโดยการพักผ่อนให้เพียงพอและไม่ควรอยู่ในที่ๆ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เช่น ที่มีคนหนาแน่น
 
4.อาการปวดหลังและเป็นตะคริว แก้ไขโดยการพักผ่อน ไม่ควรยืนนานๆ ยกของหนักหรือใส่รองเท้าส้นสูง ถ้าเป็นตะคริวควรใช้ขี้ผึ้งร้อนๆทาถูนวดจะบรรเทาอาการปวดได้
 
5.ตกขาว ถ้ามีลักษณะใสๆ หรือเป็นมูก เป็นอาการปกติ แต่ถ้ามีตกขาว ปนเลือดหรือมีกลิ่น หรือมีอาการคัน ควรให้แพทย์ตรวจ
 
6.ริดสีดวงทวาร พบได้เสมอในระหว่างตั้งครรภ์ ควรระวังอย่าให้ท้องผูก โดยทั่วไปริดสีดวงทวารจะหายไปเองหลังคลอดประมาณ 4-5 สัปดาห์
 
7.เส้นเลือดขอด เกิดจากการไหลเวียนของเลือดช้า ไม่ควรยืนหรือนั่งห้อยเท้านานๆ เวลานอนยกเท้าให้สูง ถ้าปวดมากควรปรึกษาแพทย์
 
8.ท้องลายหรือหน้าอกลาย เป็นอาการปกติ ป้องกันและรักษาไม่ได้ แต่ถ้าท่านใช้ครีมทาตัวหรือน้ำมันมะกอกบ่อยๆ จะป้องกันไม่ให้คัน
 
9.อาการบวม ถ้าปวดเล็กน้อยบริเวณข้อเท้าเป็นอาการปกติ พบได้เสมอในระยะใกล้คลอด การนอนพักและยกเท่าให้สูงจะทำให้อาการบวมลดลง
 
10.นอนไม่หลับโดยเฉพาะเวลาใกล้คลอด เนื่องจากความอึดอัด เกิดจากมดลูกโตมาก หายใจไม่สะดวก แก้ได้โดยการหนุนศีรษะให้สูง
 
11.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ท่านอาจจะหงุดหงิดมาก นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย พยายามทำใจให้สบาย อย่าปล่อยให้มีเวลาว่างมาก เพื่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เช่น สามีจะได้มีความรู้สึกสบายใจด้วย และข้อสำคัญคือบุตร เมื่อคลอดออกมาจะได้มีความรู้สึกอบอุ่น
 
อาการผิดปกติ ที่ท่านควรจะไปพบแพทย์ก่อนกำหนดนัดหมาย          
 
-แพ้ท้องอย่างมาก จนรับประทานอาหารไม่ได้
 
-แน่นท้องหรืออึดอัดมาก
 
-ปวดศีรษะหรือวิงเวียนบ่อยๆ
 
-น้ำหนักเพิ่มเร็ว จนมีอาการบวมที่หน้าและมือ
 
-เป็นไข้หรือหนาวสั่น
 
-เด็กไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง
 
-ปัสสาวะแสบและบ่อยเกินไป
 
-มีเลือดออกหรือมีตกขาว มีกลิ่นและคัน
 
อาการผิดปกติที่ท่านจะต้องไปโรงพยาบาลทันที
 
-มีเลือดออกมาทางช่องคลอด ไม่ว่าจะเจ็บท้องหรือไม่ก็ตาม
 
-มีอาการปวดท้องอย่างมากไม่ทราบสาเหตุ
 
-ถุงน้ำคร่ำแตกมีน้ำเดินมก แม้ว่าจะไม่เจ็บท้อง             
 
-มีอาการบวมอย่างมาก ปวดหัว ตามัว หรือมีอาการชัก
 
เมื่อท่านปวดท้องคลอด
 
อาการเจ็บท้องคลอด คือ การเจ็บท้องเป็นระยะและสม่ำเสมอโดยครั้งแรกจะนานๆ ครั้ง ต่อมาการเจ็บจะถี่ขึ้น โดยทั่วไปในท้องแรกท่านควรจะไปโรงพยาบาลเมื่อเจ็บทุก 5-10 นาที เป็นอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ท่านไม่ควรจะตกใจเมื่อเริ่มเจ็บท้อง สำหรับท้องหลังอาจมีการดำเนินการคลอดเร็วกว่าท้องแรก ดังนั้นเมื่อแน่ใจว่าเป็นเจ็บท้องคลอดให้รีบไปโรงพยาบาลได้เลย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางด้วย เช่น บ้านไกล การจราจรติดขัดก็ควรจะไปให้เร็วกว่านี้
 
 
 
 ข้อมูลโดย รพ.วิภาวดี
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด