เป็นที่น่าเสียดาย สำหรับคนไทยที่มีสมุนไพร นานาชนิดและมีตำรับ ตำราแพทย์แผนไทย จารึก กระบวนการปรุงวิธีใช้ และข้อบ่งใช้ ในภาวะหรืออาการต่างๆ
แต่แล้วถูกละเลย มองดูเป็นเรื่องล้าสมัย เชยและไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แผนใหม่โดยที่คนไทยพื้นบ้านทั่วไปก็ยังมีการใช้อยู่ และได้ผล
นอกจากนั้นการที่สมุนไพรกัญชานั้น เมื่อใช้ในขนาดสูงเพื่อจุดประสงค์ของความสนุก จะทำให้เกิดการติดได้ทั้งนี้ เนื่องจาก มีรหัสพันธุกรรม ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และอาจตามต่อไปด้วย อาการทางจิตประสาท
ตัวอย่างของการที่ใช้ และเกิดผลข้างเคียงทำให้เกิดภาพพจน์ที่ไม่ดี และกลายเป็นสิ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันมีการต่อต้านกัน
• ทั้งนี้ ในที่สุดแล้ว อาจต้องมีการวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ เลือกเอาประโยชน์และสกัดผลข้างเคียงออก ด้วยการ ที่สามารถเลือกได้ว่า จะเอาสารตัวใดมาใช้และในขนาดปริมาณเท่าใด ซึ่งขณะนี้เราก็ทราบแล้วด้วยซ้ำ
• ที่เห็นได้ชัด ก็คือเรื่องกัญชาและกันชงซึ่งมีสูตรตำรับมากมายและในสูตรต่างๆนี้ มากกว่า10 ตำรับ ที่พวกเราได้ทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า แมสสเปกโตรมิเตอร์ และปรากฏว่าในสูตรตำรับแต่ละชนิดนั้น มีส่วนประกอบของสารเธอร์ปีน และส่วนของแคนนาบินอยด์ต่างๆ กัน เช่น ในกลุ่ม THC และ CBD โดยที่ในแต่ละกลุ่มนั้น ก็จะมีเพื่อนของเขาอยู่ด้วยกันหลายตัว และเป็นหลักของการใช้สมุนไพรในการรักษา โดยที่มักจะไม่ใช้สารเดี่ยว เนื่องจากจะต้องใช้ปริมาณสูงมากถึงจะเห็นผล
และนอกจากนั้น การที่มีขนาดสูง เช่น ในการใช้ CBD ที่เป็นยาเดี่ยวตัวเดียวและขึ้นทะเบียนรักษาโรคลมชัก ที่ดื้อยากันชักมาตรฐานที่ใช้กันและที่ควบคุมไม่ได้ ที่ใช้ในต่างประเทศ โดยที่มีราคาสูงมากประมาณเดือนละ 80,000 บาท จะต้องใช้ในขนาด โดยเฉลี่ย ถึง 25.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ในขณะที่ ถ้าเป็น CBD และพวก จะใช้ขนาดประมาณ 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันทั้งนี้ โดยที่สามารถคุมอาการได้ดีขึ้นถึง 71% เทียบกับ 46% เมื่อใช้เป็นตัวเดี่ยว
และนอกจากนั้นการที่ใช้ CBD เดี่ยวในขนาดสูง ยังจะมีปฏิกิริยากับยาปัจจุบันที่ใช้อยู่ โดยจะทำให้ระดับยาอื่นๆสูงขึ้น จนทำให้เกิดมีผลข้างเคียงเช่นเกิดมีตับอักเสบขึ้น
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แต่เพียงตัวกลุ่ม CBD เท่านั้น ที่มีประโยชน์ ในกลุ่มของ THC ก็มีประโยชน์เช่นกัน โดยใช้เป็นตัวประสานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการที่มีทั้งสองกลุ่มอยู่ด้วยกัน จะทำให้ฤทธิ์ทางจิตประสาท ของ THC นั้นถูกลดทอนลงและเป็นที่มาของการใช้อัตราส่วนระหว่าง CBD ต่อ THC เป็น 10 ต่อหนึ่ง จนกระทั่งถึง 20 ต่อหนึ่ง
คุณสมบัติของกลุ่ม CBD นั้น เป็นที่รับทราบในการแพทย์แผนปัจจุบัน มากขึ้นเรื่อยๆและในส่วนของการควบคุมอาการเจ็บปวดเรื้อรัง ที่ทำให้มีความทนทุกข์ทรมานอย่างอื่นร่วม ได้แก่ ปัญหาการนอน ความวิตกกังวล กินอาหารไม่ได้ โดยที่สาเหตุหลักของอาการปวดทรมานเหล่านี้ มีตั้งแต่ข้อและกระดูกอักเสบ กล้ามเนื้อเนื้อเยื่อพังผืดอักเสบเรื้อรังโรคสมองและไขสันหลังบาดเจ็บ หรืออักเสบเรื้อรัง และจนกระทั่งถึงการที่มีติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
ได้มีข้อสรุปเป็นคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยทางเวชปฏิบัติ โดยที่มีการเผยแพร่ในวันที่ 27 มีนาคม 2023 และเน้นตัว CBM cannabinoid based medicine เป็นหลักและมีหลักฐานชัดเจนโดยสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวและใช้ทดแทนยาแก้ปวดที่ใช้อยู่เดิมหรือใช้เป็นยาร่วมในภาวะปวดเรื้อรังที่ควบคุมยากที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทไม่ว่าจะเป็นสมองไขสันหลังหรือเส้นประสาท
และในภาวะของการปวดเรื้อรังอื่นๆก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
รายงานในวารสาร Science Advances ในวันที่ 20 มกราคม 2022 ใช้ CBD ใน หลอดทดลอง ต่อมาในหนู และวิเคราะห์ในมนุษย์ที่ใช้ CBD อยู่แล้วในการรักษาโรคลมชัก ต่อการติดเชื้อโควิด
พบว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดเชื้อและความรุนแรงของโควิด
ทั้งนี้ ศึกษาลงลึกถึงกลไก ของการออกฤทธิ์ที่ระดับต่างๆและไม่มีผลข้างเคียง
ทั้งนี้จะเป็นกันชง บริสุทธิ์ CBD เดี่ยว ที่ไม่มีกัญชา โดยใช้ขนาดในสัตว์ทดลอง 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมจนกระทั่งถึง 60 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน
และกลไกการออกฤทธิ์นั้นอยู่ที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์โดย CBD ไปทำการเสริมให้ระบบป้องกันภัยของ ร่างกายแข็งแรงขึ้น
และในส่วนของภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ นั้น มีการศึกษาในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมให้มีสมองเสื่อมแบบในมนุษย์โดยที่ CBD สามารถที่จะชะลอและป้องกันอาการเสื่อมที่จะเกิดขึ้นและที่สำคัญก็คือลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นตัวร้ายในการที่ทำให้เกิดความเสียหายและกระตุ้นให้มีการสร้าง โปรตีนพิษ บิดเกรียวในสมอง และนอกจากนั้นยังกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ (neurogenesis)
และมีรายงานในมนุษย์ที่มีโรคสมองเสื่อมยังสามารถทำให้ลดอารมณ์เหวี่ยงกระวนกระวายที่ทำให้ครอบครัวและผู้ดูแลไม่สามารถเอาอยู่ได้ ทั้งนี้จะเป็น CBD เดี่ยวหรือกลุ่ม CBD หรือกลุ่มผสมระหว่าง CBD และ THC ที่มีขนาด 10 ต่อหนึ่งหรือ 20 ต่อหนึ่ง ก็ตาม
เหล่านี้เป็นหลักฐานที่ควบรวมการศึกษาอย่างเป็นระบบทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานและจนกระทั่งถึงกลไกและการติดตามในมนุษย์
ถึงนาทีนี้ คนไทยเราน่า ที่จะมีการส่งเสริมในการใช้สมุนไพรเหล่านี้ ทั้งนี้ ในรูปแบบแผนที่มีการใช้กันมาก่อนและปรับกระบวนทัศน์ของแพทย์แผนไทยหรือครูพื้นบ้านกับแพทย์แผนปัจจุบันให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยในการรักษาสุขภาพป้องกันและชะลอโรค โดยที่ไม่ใช้ยามากเกินไป จนกระทั่งมีผลแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงของยามากขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น
ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha
21 พฤษภาคม 2566