หลังจากมีข้อสงสัยกันมานานพอสมควรเกี่ยวกับคำถามที่ว่า "สตรีมีครรภ์ และ สตรีที่ให้นมบุตร" จะสามารถรับการฉีดวัคซีนได้หรือไม่ เพื่อความชัดเจนและตอบข้อสงสัยในประเด็นนี้ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
ออกประกาศ ที่ 06/2564 ลงวันที่ 21 พค 64 เรื่อง การฉีดวัดซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสตรีตั้งครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร ระบุชัดเจนว่า "สตรีมีครรภ์ และ สตรีที่ให้นมบุตร" นั้น ถือเป็นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิต-19 เพราะหากทั้งสองกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ติดเชื้อ มีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงกว่าคนทั่วไป และมีโอกาสต้องรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตมากกว่า จึงแนะนำว่าสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ แต่ก็มีคำแนะนำร่วมสำหรับกรณียกเว้น หรือ ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
รายละเอียด ปรากฏดังนี้
เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิต-19 ในประเทศไทย ในช่วงนี้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากและแพร่กระจายไปหลายพื้นที่อย่างรวดเร็ว สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 อาจหายได้เอง หรือมีอาการรุนแรงถึงชั้นเสียชีวิตได้ จากการทบทวนการศึกษาขนาดใหญ่ของหลายประเทศทั่วโลก พบว่า สตรีตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงกว่าคนทั่วไป และมีโอกาสต้องเข้ารักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติ (Intensive care unit, ICU) เพิ่มขึ้น ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (mechanical ventilation) เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ครรภ์เป็นพิษ เลือดแข็งตัวผิดปกติ ทารกตายในครรภ์ ทารกเกิดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ทารกติดเชื้อและต้องเข้ารักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดวิกฤติสูงขึ้น
ดังนั้นสตรีตั้งครรภ์จึงถือเป็นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิต-19 เพื่อลดการติดเชื้อ ลดการเกิดโรคที่รุนแรงและลดการเสียชีวิต แม้ว่าข้อมูลด้านความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนในสตรีตั้งครรภ์ยังมีจำกัด แต่ยังไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าวัคซีนจะก่อให้เกิดอันตรายแก่สตรีตั้งครรภ์สูงกว่าคนทั่วไป การฉีดวัคซีนจึงมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดจากผลข้างเคียงของวัคซีน ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีข้อแนะนำ ดังนี้
1. สตรีตั้งครรภ์สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ยกเว้นกรณีที่มีข้อห้าม เช่น มีอาการแพ้รุนแรง
จากการฉีดครั้งแรก
2. ระยะเวลาที่ควรฉีดวัคซีนคือ หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ (3 เดือน)
3. สตรีที่ให้นมบุตรสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้
4. วัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ มี 2 ชนิด คือ Sinovac และ AstraZeneca จากข้อมูลเบื้องตันสามารถใช้ได้ทั้งสองชนิด แต่มีข้อสังเกตว่าวัคซีน Sinovac มีอัตราการเกิดไข้หลังการฉีดน้อยกว่า AstraZeneca วัคซีนทั้งสองชนิดมีความปลอดภัยในการฉีดให้คนทั่วไปและมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน ในอนาคตอาจจะมีวัคซึนชนิดอื่นๆ ให้เลือกเพิ่มขึ้น
5. ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นๆ ยกเว้นมีความจำเป็น การฉีดวัคซึนชนิดอื่น ๆ ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
การฉีดวัคซีนถือเป็นความสมัครใจ สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับคำปรึกษาถึงประสิทธิภาพและความ
ปลอดภัยของวัคซีนโดยละเอียดก่อนการตัดสินใจ
ประกาศ 21 พค 2564