เมืองเคมบริดจ์, รัฐแมสซาชูเซตส์ (ตีพิมพ์โดย BUSINESS WIRE)—วันที่ 12 สิงหาคม 2564—รายงานว่า บริษัทโมเดอร์น่า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพผู้บุกเบิกแนวทางการรักษา และการพัฒนาวัคซีนโดยการใช้เทคโนโลยี messenger RNA (mRNA) ในวันนี้ได้มีการประกาศ ถึงการตีพิมพ์ข้อมูลผลงานวิจัยฉบับใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนโมเดอร์น่าที่มีต่อการคงระดับอยู่ของระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีประเภทยับยั้งเชื้อต่อเชื้อไวรัสโควิดในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOCs) โดยต้นฉบับที่แสดงข้อมูลผลงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งจากรายงานพบว่า ในบุคคลส่วนใหญ่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่า มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีทั้งประเภทจับกับแอนติเจนของเชื้อโควิดและภูมิคุ้มกันแอนติบอดีประเภทที่ทำหน้าที่ยับยั้งเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆ คงอยู่ได้นานเป็นเวลา 6 เดือน นับจากเวลาที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2
Stéphane Bancel ซึ่งดำรงตำแหน่ง Chief Executive Officer ของบริษัทโมเดอร์น่าได้กล่าวว่า
"เรามีความพึงพอใจกับข้อมูลงานศึกษาวิจัยใหม่เหล่านี้ ที่แสดงให้เห็นว่า ในคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่า ครบสองเข็ม มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีที่คงอยู่ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งภูมิคุ้มกันแอนติบอดีต่อเชื้อโควิดดังกล่าวยังรวมไปถึงเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าอีกด้วย โดยทางบริษัทโมเดอร์น่าเองและพันธมิตรของทางบริษัทยังคงที่จะมุ่งมั่นต่อไปในการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในด้านต่างๆของวัคซีนโมเดอร์น่า และจะได้ทำการเปิดเผยแบ่งปันถึงข้อมูลร่วมกันหากมีข้อมูลใหม่ๆเกิดขึ้น”
"นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นการสนับสนุนถึงประสิทธิภาพที่ทนทานในระดับ 93% ของวัคซีนโมเดอร์น่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือน เราคาดว่าข้อมูลเหล่านี้และการเพิ่มขึ้นของข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของวัคซีนเมื่อถูกนำมาใช้จริงจะเป็นการช่วยหน่วยงานที่กํากับดูแลด้านสุขภาพในการกำหนดแนวทางทั้งในด้านวิธีการและเวลาที่เหมาะสมสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น”
การศึกษาฉบับนี้มีการใช้วิธีวิเคราะห์ที่หลากหลายและแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีนโมเดอร์น่า ครบสองเข็ม มีการผลิตขึ้นของภูมิคุ้มกันแอนติบอดีทั้งประเภทที่จับกับแอนติเจนของเชื้อโควิดและประเภทยับยั้งเชื้อโควิดทั้งต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์บรรพบุรุษเอง รวมไปถึงต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOCs) อันได้แก่ อัลฟา (Alpha), เบต้า (Beta), แกมมา (Gamma), เดลต้า (Delta), เอปซิลอน (Epsilon) และไอโอต้า (Iota) แม้ว่าจะมีการลดระดับลงของภูมิคุ้มกันแอนติบอดีเมื่อเวลาผ่านไป แต่ก็พบว่าอาสาสมัครผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่มีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีที่ยังอยู่ในระดับที่ตรวจวัดได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไป 6 เดือน ภายหลังจากการฉีดวัคซีนครบก็ตาม
แนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่าระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีต่อเชื้อโควิดกลายพันธุ์มีการลดต่ำลงนั้น พบในกลุ่มบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนมานานแล้ว กล่าวคือ ได้รับการฉีดวัคซีนผ่านมาแล้วเป็นเวลา 209 วัน (เกิน 6 เดือน) ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนั้นมีน้อย และมีการทับซ้อนกันระหว่างกลุ่มอายุในกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ บุคคลจํานวนมากในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนผ่านมานานแล้วยังคงมีระดับภูมิคุ้มกันแอนติบอดีประเภทยับยั้งเชื้อต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ต่างๆภายหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มที่สองผ่านมานานแล้ว 6 เดือน
ข้อมูลจากงานวิจัยฉบับนี้ยังเป็นการสนับสนุนข้อมูลจากรายงานฉบับอื่นๆที่ได้มาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ถึงประสิทธิผลจากการใช้งานจริงของวัคซีนที่แสดงให้เห็นว่า วัคซีนโมเดอร์น่ามีประสิทธิภาพทางคลินิคที่มีความคงทนยาวนาน นอกจากนี้แล้ววัคซีนโมเดอร์น่ายังแสดงประสิทธิผลในสภาวการณ์ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสายพันธุ์เดลต้า รวมไปถึงประสิทธิผลของวัคซีนโมเดอร์น่าที่มีต่อกลุ่มประชากรที่มีความยากต่อการรักษาเช่น กลุ่มของประชากรที่อาศัยอยู่ในสถานดูแลระยะยาวหรือผู้ป่วยมะเร็ง
คำแปลภาษาไทยจากแถลงการณ์ของโมเดอร์น่า
เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของโมเดอร์น่า
Moderna Announces New Study Showing Its COVID-19 Vaccine Maintains Antibodies Against Variants of Concern and Interest to 6 Months
PDF release