โอมิครอนเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อบนเครื่องบิน 2-3 เท่า
แพทย์และที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เปิดเผยว่า ผู้โดยสาร
เครื่องบินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุโอมิครอนระหว่างเที่ยวบินเที่ยวบินชั้นธุรกิจมีแนวโน้มปลอดภัยมากกว่าชั้นประหยัดซึ่งมีคนใช้บริการหนาแน่นกว่า พร้อมแนะนำให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกัน หรือสัมผัสบนพื้นผิวที่มีการจับต้องบ่อย และหากต้องรับประทานอาหารบนเครื่องบินก็ควรสลับเวลากันในแถว เพื่อให้คนอื่น ๆ ยังสวมหน้ากากอนามัยอยู่ ในขณะที่อีกคนถอดหน้ากากเพื่อรับประทานอาหาร แม้การโดยสารเครื่องบินจะมีความเสี่ยง แต่การอยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่นมาก เช่น ศูนย์การค้าต่าง ๆ นั้น ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เนื่องจากเครื่องบินสมัยใหม่นั้นจะมีระบบกรองอากาศเกรดเดียวกับในโรงพยาบาล ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการรักษามาตรการควบคุมโรค อาทิ การสวม
หน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัดบนเครื่องบิน การหมั่นล้างมือให้สะอาด และการรักษาระยะห่างจากผู้โดยสารคนอื่น ๆ โดยสิ่งที่ป้องกันการติดเชื้อได้ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนให้ครบทุกเข็ม รวมถึงการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ตามคำแนะนำทางการแพทย์
สิงโปร์ ยกเลิกระบบเข้าเมืองไม่ต้องกักตัวสกัดโอมิครอน
สิงโปร์เตรียมยกเลิกการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินและรถประจำทางขาเข้าประเทศภายใต้ระบบเข้าเมืองไม่ต้องกักตัวหรือ quarantine - free travelเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ภายใต้โครงการ vaccinated travel lane (VT L) รัฐบาลสิงคโปร์อนุญาตให้ผู้เดินทางจากบางประเทศที่ฉีดวัคซีนครบและเดินทางมาพร้อมกับเที่ยวบินและรถโดยสารที่กำหนด สามารถเข้าเมืองได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการกักตัวโดยจะต้องมีการตรวจหาเชื้อเป็นประจำ ปัจจุบันมีอยู่ 24 ประเทศที่ได้รับอนุญาตเข้าโครงการนี้ เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐอเมริกา อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์จะงดจำหน่ายตั๋วเดินทางในโครงการ VTL ตั้งแต่วันที่ 23 ธ.ค. ไปจนถึง 20 ม.ค. ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เดินทางเข้าสิงค์โปร์ทุกคนจะต้องผ่านกระบวนการกักตัวทั้งหมด มาตรการควบคุม
พรมแดนจะช่วยให้เรามีเวลาศึกษาและทำความเข้าใจเชื้อโอมิครอน เสริมการป้องกันให้แข็งแกร่ง ยกระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุข
โอไมครอนแพร่ไวกว่าคาด สหรัฐพบติดเชื้อใหม่ 73% จากทั่วประเทศ
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา เผยโอไมครอนแพไวกว่าที่คิด เป็นพันธุ์หลักของประเทศผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นสัดส่วนถึง 73% ของผู้ติดเชื้อที่พบในสหรัฐศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนได้กลายเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในประเทศแล้ว โดยเพียงสัปดาห์เดียวหน่วยควบคุมโรคสหรัฐ พบว่าในบรรดาผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ของประเทศ จำนวนนี้ 73.2%* เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอน เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นที่อัตราติดเชื้อโอไมครอนอยู่ที่ราว 12.6% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด ทั้งนี้ อัตราการแพร่ระบาดอันรวดเร็วของเชื้อกลายพันธุ์โอไมครอนทำให้
หลายฝ่ายเป็นกังวลต่อช่วงเทศกาลวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
อิสราเอลห้ามประชาชนเดินทางไป 10 ประเทศ สกัดโอมิครอน
คณะรัฐมนตรีอิสราเอลโหวต ห้ามประชาชนเดินทางไป 10 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม เยอรมนี ฮังการี อิตาลี
โมร็อกโก โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ และตุรกี รวมถึง สหรัฐ-แคนาดา หวังสกัดโอไมครอน ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนสำนักงานของนายกรัฐมนตรี ประกาศการตัดสินใจหลังการลงคะแนนเสียงของคณะรัฐมนตรี
อิสราเอลพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเริ่มปิดพรมแดน รวมถึงจำกัดการเดินทาง ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศ ส่วนชาว
อิสราเอลที่เดินทางกลับจากต่างประเทศจะต้องถูกกักตัว ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว
ออสเตรเลียเน้นย้ำการใส่หน้ากากอนามัย และรักษาระยะห่าง แม้ไวรัสโอมิครอนระบาด
นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ แม้ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนยังคงระบาด พร้อมกับกล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการปิดกั้นชีวิตของผู้คนด้วยการล็อกดาวน์ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในออสเตรเลียพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยเกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้ง่าย อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียยืนยันว่า การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดนั้นเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล ต้องก้าวผ่านการออกมาตรการที่เข้มงวด และเราควรปฏิบัติต่อชาวออสเตรเลียอย่างผู้มีวุฒิภาวะ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐบาล
ทั้งนี้ แม้ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลียกล่าวว่า ผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่ต้องเข้าโรงพยาบาล "มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" โดยขณะนี้จำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่ยังคงต่ำกว่าในช่วงสายพันธุ์เดลตาระบาดอยู่มาก