ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ถึงมือสธ.แล้ว พร้อมใช้รักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์

ยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ถึงมือสธ.แล้ว พร้อมใช้รักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์ Thumb HealthServ.net
ยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ถึงมือสธ.แล้ว พร้อมใช้รักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์ ThumbMobile HealthServ.net

ส่งมอบแล้ววันนี้ สำหรับยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ตามสัญญาการจัดซื้อระหว่างกรมการแพทย์ และบริษัทไฟเซอร์ฯ ส่งต่อให้องค์การเภสัชกรรมจัดเก็บและกระจายยา เป็นการเตรียมพร้อมดูแลผู้ป่วยโควิด19 ที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นมากหลังเทศกาลสงกรานต์ โดยยาแพกซ์โลวิดนี้ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีภาวะเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เพื่อช่วยลดการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต

ยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ถึงมือสธ.แล้ว พร้อมใช้รักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์ HealthServ

 
          11 เมษายน 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีส่งมอบยาต้านไวรัสโควิด 19 “แพกซ์โลวิด” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยนพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนางสาวเด็บบราห์ ไซเฟิร์ท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม


 
          นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงยารักษาโควิด 19 ที่มีประสิทธิผล โดยมีข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมในการนำมาใช้กับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ยาโมลนูพิราเวียร์ และยาตัวใหม่ที่กำลังนำมาใช้ คือ ยาแพกซ์โลวิด ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ ดำเนินการจัดซื้อจัดหาจำนวน 50,000 คอร์ส การรักษา โดยลงนามจัดซื้อกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา และมีการส่งมอบยาในวันนี้
 
          “ในนามของรัฐบาล ขอขอบคุณทุกภาคส่วนโดยเฉพาะกรมการแพทย์ ที่เป็นผู้ดำเนินการจัดหายาแพกซ์โลวิด และองค์การเภสัชกรรม ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บและกระจายยา รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลผู้ป่วยโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง” นายอนุทินกล่าว
 

ยาแพกซ์โลวิด 5 หมื่นคอร์ส ถึงมือสธ.แล้ว พร้อมใช้รักษาผู้ป่วยโควิดช่วงหลังสงกรานต์ HealthServ
 


 
          นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในผูป่วย 1,379 คน พบว่า ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลงได้ ร้อยละ 88 เมื่อผู้ป่วยได้รับยาภายใน 5 วันนับตั้งแต่เริ่มมีอาการ โดยกลุ่มที่ให้ยาแพกซ์โลวิด มีการนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 0.77 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอก มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล ร้อยละ 6.31 และมีผู้เสียชีวิต 13 คน ถือว่ามีประสิทธิผลสูง ซึ่งยาแพกซ์โลวิด 50,000 คอร์สที่ส่งมอบครั้งนี้ จะนำไปใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น คนอายุมากกว่า 60 ปี มีภาวะอ้วน เป็นเบาหวาน เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นโรคไตเรื้อรัง ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ เป็นต้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาล
 
          นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า กรมการแพทย์ได้เริ่มเจรจาจัดซื้อยาแพกซ์โลวิดกับบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ตามกระบวนการขั้นตอนต่างๆ จนมีการตรวจรับและส่งมอบยาในวันนี้ เพื่อให้สามารถนำยาดังกล่าวไปใช้รักษาผู้ป่วยโควิด 19 ได้ทันในช่วงเดือนเมษายน เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของโรคโควิด 19 หลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่าอาจจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โดยมีองค์การเภสัชกรรมทำหน้าที่จัดเก็บและกระจายยาไปยังสถานพยาบาลต่างๆ
 

 

 
          ทั้งนี้ ยาแพกซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ด ออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ทำให้เชื้อไวรัสโควิดไม่สามารถสร้างโปรตีนที่จำเป็นต้องใช้ในการเพิ่มจำนวนได้ ยานี้ประกอบด้วย ยา Nirmatrelvir (150 มก.) จำนวน 2 เม็ด และยา Ritonavir (100 มก.) จำนวน 1 เม็ด  รับประทานวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน (ใช้ Nirmatrelvir 20 เม็ด และ Ritonavir 10 เม็ด/คน) กลุ่มที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง คือ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม ผู้ที่การทำงานของตับหรือไตบกพร่อง รวมถึงผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน การพิจารณาให้ยาจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด