นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า พืชกระท่อม จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ลำดับที่ 2 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2561 ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการนำพืชกระท่อมมาต้มเป็นน้ำต้มพืชกระท่อมและมีการนำใช้ในทางที่ผิดในหมู่วัยรุ่น เพื่อความสนุกสนาน คึกคะนอง ผสมกับสารอื่นๆ ซึ่งรู้จักในชื่อสี่คูณร้อย ส่วนใหญ่พบมีการใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาแก้แพ้ ทำให้ง่วงซึม เช่น ไดเฟนไฮดรามีน และคลอร์เฟนิรามีน ยาแก้ปวดทำให้เกิดอาการหลอน เช่น ทรามาดอล หรือวัตถุออกฤทธิ์ เช่น อัลปราโซแลม และโคลนาซีแพม ซึ่งเมื่อผสมเข้าด้วยกันแล้วจะออกฤทธิ์ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการควบคุมโดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการตรวจพิสูจน์คดีน้ำต้มพืชกระท่อมของสำนักยาและวัตถุเสพติดในปีงบประมาณ 2563 (1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563) รวมทั้งสิ้น 196 คดี จำนวน 546 ตัวอย่าง พบตัวอย่างได้รับจากเขตพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล มีการใช้น้ำต้มพืชกระท่อมร่วมกับคีตามีน จำนวน 4 ตัวอย่าง ปริมาตรรวม 10.530 ลิตร โดยคีตามีน (Ketamine) หรือที่รู้จักกันในหมู่ผู้ใช้ยาเสพติดว่า “ยาเค”จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ลำดับที่ 16 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 พ.ศ.2561 เป็นยาที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อใช้เป็นยาสลบหรือระงับปวด เป็นยาจำเป็น ขั้นพื้นฐานสำหรับสถานพยาบาล และอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติในประเทศไทย การใช้คีตามีนจะทำให้สูญเสียความทรงจำ มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและประสาทหลอนได้ มักพบการใช้คีตามีนในทางที่ผิดในสถานบันเทิงร่วมกับยาอี เพื่อหวังฤทธิ์การหลอนประสาท เมื่อนำมาผสมกับน้ำต้มพืชกระท่อมและรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการทางจิตและเสพติด การใช้คีตามีนในขนาดที่สูงจะทำให้เกิดการอาเจียน ชัก สมองและกล้ามเนื้อขาดออกซิเจน และเสียชีวิตได้ ทั้งนี้การตรวจพบการใช้น้ำต้มพืชกระท่อม ร่วมกับ คีตามีนในตัวอย่างของกลางที่ส่งมาตรวจยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มสถานการณ์การใช้ยาเสพติดร่วมกันรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในประเทศ ซึ่งข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทราบและใช้ติดตามป้องกัน ปราบปราม และควบคุมสถานการณ์ยาเสพติดของประเทศต่อไป
“สำนักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านวัตถุเสพติดของประเทศได้ให้การสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โรงพยาบาลของรัฐและเอกชน กรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานเอกชนทั่วประเทศ โดยการตรวจยาเสพติดในตัวอย่างของกลางและสารเสพติดในปัสสาวะ เพื่อหาชนิดและปริมาณยาเสพติด แล้วนำผลการวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาทางอรรถคดี รวมถึงดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดของสารเสพติดชนิดใหม่ สารทดแทนหรือจากการนำยาที่ใช้ในทางการแพทย์ไปใช้ในทางที่ผิด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
9 ธันวาคม 2563