ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

อันตราย 5 ประการจากน้ำตาลเทียม

สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนที่รักสุขภาพ รู้ดีว่าน้ำตาลทานมากก็ไม่ดีต่อร่างกาย จึงเลี่ยงไปทานน้ำตาลเทียม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อให้ได้รสชาติความหวาน ในแบบที่ไม่รู้สึกผิดต่อร่างกาย แต่จริงๆ แล้ว น้ำตาลเทียม แฝงอันตรายเอาไว้มากมาย

  1. สารเคมีตกค้าง ก่อมะเร็ง
    แอสปาแตมประกอบไปด้วยสารเคมี 3 ชนิด คือ กรดแอสปาร์ติก ฟีนิลอะลานีน และ เมธานอล หากร่างกายได้รับสารเคมีเหล่านี้จำนวนมาก จะไม่สามารถกำจัดออกไปจากร่างกายได้หมด จนอาจเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ และทำให้ DNA ภายในร่างกายได้รับความเสียหาย จนอาจพัฒนากลายเป็นความผิดปกติของเซลล์ และเป็นมะเร็งในที่สุด
  2. สาเหตุโรคอ้วน และเบาหวานทางอ้อม
    แทนที่ทานอย่างอื่นแทนน้ำตาลแล้วจะเลี่ยงโรคอ้วน และเบาหวานได้ กลับกลายเป็นว่าแอสปาแตมเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็น 2 โรคนี้เสียเอง เพราะแอสปาร์แตมทำให้ร่างกายมีปริมาณการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายยิ่งโหยหาความหวานจากน้ำตาลมากยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุที่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ยังวนเวียนกลับไปหาน้ำตาลแท้เหมือนเดิม แถมยังอยากอาหารมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
  3. เป็นสารอันตราย
    ถึงแม้จะมีการอนุญาตให้ใช้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่ผลจากการทดลองกับสัตว์บางชนิด ยังพบอาการข้างเคียงเช่น ชักอย่างรุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิต
  4. ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    เมื่อแอสปาแตมเป็นน้ำตาลเทียม ที่จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มันไปกองรวมกันอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีแบคทีเรียที่สามารถย่อยแอสปาแตมได้ แต่ก็จะผลิตก๊าซออกมา จึงทำให้เรามีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อและถ่ายมากกว่าปกติได้
  5. อันตรายต่อสมอง
    กรดแอสปาร์ติก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของน้ำตาลเทียม สามารถผ่านเข้าสู่เซลล์สมอง และเมื่อมีปริมาณแคลเซียมอยู่ในสมองมากๆ ก็อาจทำให้สมองได้รับอันตรายได้ เซลล์สมองอาจมีความผิดปกติ โดยอาจทำให้เกิดโรคลมบ้าหมู อัลไซเมอร์ รวมไปถึงปลอกประสาทอักเสบ และต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทานน้ำตาลเทียมไม่ได้นะคะ เรายังทานได้อยู่ แต่ขอให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ หรือถ้าอยากลดการบริโภคน้ำตาล ก็ลดการทานหวานไปเลยจะดีกว่าค่ะ
 
ข้อมูลจาก : www.sanook.com

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด