+++++
5. หัวเรื่องที่ 5 กัญชาและกัญชงกับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
5.1 ประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาและกัญชงในต่างประเทศ
ในต่างประเทศพบหลักฐานบันทึกไว้ว่า มีการใช้กัญชาเป็นยารักษา หรือควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ได้แก่ โปรตุเกส สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศจีน อินเดียและอิหร่าน มาอย่างช้านาน ในบางประเทศมีหลักฐานว่าเคยมีการใช้กัญชามานานกว่า 4,700 ปี
5.2. ประวัติความเป็นมาการใช้กัญชาในการแพทย์ทางเลือกของไทย
ในประเทศไทยมีหลักฐานการใช้กัญชาในการรักษา หรือควบคุมอาการของโรคต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีการรวบรวมไว้เป็นตำรายาหลายเล่ม และสูตรยาหลายขนาน เช่น ตำราพระโอสถพระนารายณ์ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ พระคัมภีร์ปฐมจินดา พระคัมภีร์มหาโชตรัต พระคัมภีร์ชวดารและพระคัมภีร์กษัย เป็นต้น มีการระบุตำรับยาที่ใช้กัญชา หรือมีกัญชาเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการรักษา นับแต่ในอดีตสืบเนื่องกันมา
5.3 ตำรับยาที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบที่ได้มีการคัดเลือก และรับรองโดยกระทรวง
สาธารณสุข ในปัจจุบัน พ.ศ. 2562 ประกาศใช้ทั้งหมด 16 ตำรับ ได้แก่
(1) ยาอัคคินีวคณะ
(2) ยาศุขไสยาศน์
(3) ยาแก้ลมเนาวนารีวาโย
(4) ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ
(5) ยาแก้ลมขึ้นเบื้องสูง
(6) ยาไฟอาวุธ
(7) ยาแก้นอนไม่หลับหรือยาแก้ไข้ผอมเหลือง
(8) ยาแก้สัณฑฆาต กล่อนแห้ง
(9) ยาอัมฤตย์โอสถ
(10) ยาอไภยสาลี
(11) ยาแก้ลมแก้เส้น
(12) ยาแก้โรคจิต
(13) ยาไพสาลี
(14) ยาทาริดสีดวงทวารหนักและโรคผิวหนัง
(15) ยาทำลายพระสุเมรุและ
(16) ยาทัพยาธิคุณ
5.4 ภูมิภูเบศรรวบรวมและเผยแพร่ภูมิปัญญาไทย
ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรครบวงจร ภายใต้แนวคิดการพึ่งพาตนเองเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร ประกอบด้วย
(1) เรือนหมอพลอย
(2) สวนสมุนไพรภูมิภูเบศร
(3) อภัยภูเบศรโมเดล
5.5 ภูมิปัญญานายเดชา ศิริภัทร หมอพื้นบ้าน
นายเดชา ศิริภัทร หมอพื้นบ้าน ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เป็นผู้ที่ได้นำกัญชามารักษาโรคตามตำรับยาพื้นบ้านไทยจากกระแสความนิยมที่มาจากตะวันตก ได้เริ่มทดลองใช้กัญชารักษาตัวเอง โดยนำความรู้พื้นฐานในการสกัดที่เผยแพร่โดย ริค ซิมป์สัน (Rick Simpson) ชาวอเมริกันที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้วสกัดกัญชารักษาโรคมะเร็งที่ตัวเองเป็นมาผสมผสานกับความรู้พื้นบ้าน เป็นน้ำมันเดชา (Decha Oil) นำมาใช้กับตนเองในการช่วยให้นอนหลับได้ลึกขึ้น หลงลืมง่าย และต้อเนื้อในตาในช่วง 4 - 5 ปี ที่ผ่านมา จึงขยายผลเผยแพร่ ทำยาแจกให้ผู้ป่วยโรคต่าง ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากกว่า 4,000 ราย ปัจจุบัน น้ำมันเดชาได้รับการรับรองให้เป็นตำรับยาพื้นบ้าน ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหมอพื้นบ้านผู้เป็นเจ้าของตำรับยาสามารถจ่ายให้กับผู้ป่วยของตนเองได้ และกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างทำการวิจัยเพื่อวิจัยพิสูจน์ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสูตรการรักษาดังกล่าว
+++++
6. หัวเรื่องที่ 6 กัญชาและกัญชงกับการแพทย์แผนปัจจุบัน
6.1 ประวัติการใช้กัญชาและกัญชงทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
6.1.1 ต่างประเทศ
ในต่างประเทศ มีการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาในทางการแพทย์หลายรูปแบบได้แก่ น้ำมันหยดใต้ลิ้น แคปซูล สเปรย์ฉีดพ่นใต้ลิ้น ยาเม็ด ยาเหน็บทวาร หรือรูปแบบแผ่นแปะบนผิวหนัง มีการศึกษาวิจัย และใช้กัญชาเป็นยารักษาโรค เช่น ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา เป็นต้น นอกจากนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการจดสิทธิบัตร และพบฤทธิ์ของกัญชาที่อาจมีผลดีต่อโรคทางระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคที่เกิดจากเซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ (Oxidative) เป็นต้น แต่ยังต้องการการศึกษาวิจัยในมนุษย์เพิ่มเติมอีกในอนาคต
6.1.2 ประเทศไทย
ประวัติการใช้กัญชาในการแพทย์แผนปัจจุบันในประเทศไทย ไม่ปรากฏข้อมูลหลักฐาน สืบเนื่องจากกัญชา ได้ถูกบรรจุให้เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จึงทำให้ขาดการศึกษาวิจัย มาพัฒนาเพื่อใช้เป็นยาในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ส่งผลให้ไม่มีประวัติการใช้กัญชาในประเทศไทย ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในปัจจุบันได้มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 กำหนดให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางราชการ ประโยชน์ทางการแพทย์ประโยชน์การรักษาผู้ป่วย และประโยชน์ในการศึกษาวิจัย ในปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย
6.2 กัญชาและกัญชงที่ช่วยบรรเทาโรคแผนปัจจุบัน
6.2.1 กัญชาและกัญชงกับโรคพาร์กินสัน
สาร CBD เป็นสารสกัดที่ได้จากกัญชงและกัญชา ไม่มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ช่วยให้ผู้ป่วย ลดความวิตกกังวล บรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ มีฤทธิ์ระงับปวด และมีกลไกที่เชื่อว่าอาจทำให้ลดอาการสั่นจากโรคพาร์กินสัน ทำให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน คาดว่าสาร CBD มีส่วนช่วยชะลออาการของ โรคพาร์กินสัน จากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และปกป้องเซลล์สมอง ซึ่งต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในอนาคตถึงสัดส่วนสารสำคัญที่ใช้ในโรคพาร์กินสัน
6.2.2 กัญชาและกัญชงกับโรคมะเร็ง
ในต่างประเทศ มีผลการศึกษาวิจัยสารในกัญชา สาร THC และสาร CBD ที่สามารถเชื่อถือได้ ในการรักษาโรคมะเร็งปอด และมะเร็งเม็ดเลือดขาว ในประเทศไทย มีการศึกษาการใช้กัญชาต่อต้านมะเร็งพบว่า กัญชาสามารถออกฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งในการเพาะเลี้ยงเซลล์ในห้องทดลอง แต่ยังไม่มีการศึกษาถึงผลของกัญชาต่อโรคมะเร็งในมนุษย์
6.2.3 กัญชาและกัญชงกับการลดอาการปวด
มีการศึกษาการนำกัญชามาใช้ลดอาการปวด ส่วนใหญ่พบว่า สามารถบรรเทาอาการปวดแบบเรื้อรัง (Chronic pain) ที่เป็นการปวดทางระบบประสาท (Neuropathic pain) สามารถบรรเทาอาการปวดลงได้ส่วนการบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน เช่น หลังผ่าตัด ยังไม่ได้ให้ผลที่ดีสำหรับอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยมะเร็ง ยังไม่มีข้อสรุปทางคลินิกที่ชัดเจน สารสกัดกัญชาอาจมีประโยชน์ในการรักษาอาการปวด แต่ยังขาดข้อมูลจากงานวิจัยสนับสนุนที่ชัดเจนเพียงพอในด้านความปลอดภัย และประสิทธิผล ซึ่งยังต้องศึกษาวิจัยต่อไปเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุด
6.2.4 กัญชาและกัญชงกับโรคลมชัก
สำหรับกัญชาที่องค์การอาหารและยา ( Food and Drug Administration) ของประเทศสหรัฐอเมริกา อนุมัติยาจากสารสกัดกัญชา ตัวแรก (ไม่ใช่สารสังเคราะห์) ชื่อการค้า Epidiolex® ประกอบด้วยตัวยา CBD 100 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ในรูปแบบสารละลายให้ทางปาก (Oral solution) โดยมีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคลมชักชนิดรุนแรง 2 ชนิด คือ Lennox - Gastaut syndrome และ Dravet syndrome ในผู้ป่วยอายุ 2 ปีขึ้นไปในประเทศไทย กรมการแพทย์ ประกาศถึงประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชาทางการแพทย์ ในการนำตัวยา CBD มาใช้กับโรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษาเท่านั้น
6.2.5 กัญชาและกัญชงกับโรคผิวหนัง
นายแพทย์เวสารัช เวสสโกวิท ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนำน้ำมันกัญชามาใช้ในโรคสะเก็ดเงิน และกรรมพันธุ์ผิวหนังชนิดหนังหนาแต่กำเนิด สำหรับในต่างประเทศ นายริค ซิมป์สัน (Rick Simpson) มีการค้นพบการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังด้วยกัญชา โดยผลิตน้ำมันกัญชา เรียกว่า ริค ซิมป์สัน ออยล์ (Rick Simpson Oil, RSO) แล้วนำมาเผยแพร่แก่ประชาชนชาวสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ ทางอินเทอร์เน็ต
6.2.6 กัญชาและกัญชงกับโรคต้อหิน
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคต้อหินด้วยกัญชา พบว่าการใช้กัญชาทำให้ความดันในลูกตาลดลงได้ มีฤทธิ์อยู่ได้เพียง 3 ชั่วโมง และขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้กัญชาด้วย ซึ่งอาจเพิ่มการเกิดผลข้างเคียงจากการได้รับขนาดยากัญชามากเกินไป ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำลงและหัวใจเต้นเร็วขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องในการควบคุมความดันลูกตา ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการออกฤทธิ์ ความแรงของยากัญชา ทำให้ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ยอมรับการนำกัญชามาใช้รักษาโรคต้อหิน เนื่องจากยาแผนปัจจุบันสามารถคุมความดันในลูกตาได้อย่างมีประสิทธิภาพคงที่ และสม่ำเสมอมากกว่า
6.3 การใช้น้ำมันกัญชาและกัญชงกับการแพทย์แผนปัจจุบัน
น้ำมันกัญชา คือ สารสกัดกัญชา (Cannabis extract) ที่เจือจางอยู่ในน้ำมันตัวพา (Carrier oils ห รือ Diluent) ส่ วนมำกนิยมใช้น้ำมันมะกอก และน้ำมันมะพ ร้ำวสกัดเย็นโดยหากผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐานจะมีการควบคุมคุณภาพของปริมาณสารสำคัญ ปริมาณความเข้มข้นของตัวยา THC และ CBD รูปแบบของน้ำมันกัญชามีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาล ลักษณะข้นหนืด น้ำมันกัญชาที่มีการผลิตอย่างได้มาตรฐาน ในประเทศไทยจากองค์การเภสัชกรรม และโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปัจจุบันมีอยู่ 3 สูตร สูตรที่ 1 น้ำมันสูตร THC สูง สูตรที่ 2 น้ำมันสูตร THC : CBD ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน สูตรที่ 3 น้ำมันสูตร CBD สูง วิธีการสกัดน้ำมันกัญชา ด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ไม่ปลอดภัย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชาที่มีมาตรฐาน ได้รับจากคลินิกกัญชา ที่มีแพทย์อนุญาตให้ใช้น้ำมันกัญชาในการรักษาโรคจึงจะมีความปลอดภัย ขนาดการใช้น้ำมันกัญชาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเภสัชกร โดยมีหลักการ คือ เริ่มใช้น้ำมันกัญชาที่ขนาดต่ำ ๆ โดยแนะนำให้เริ่มที่ 0.05 - 0.1 ซีซี หรือเท่ากับ 1 - 2 หยด และปรับเพิ่มขนาดมากขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น น้ำมันกัญชาอาจจะทำให้มีภาวะง่วงซึม จึงแนะนำให้ใช้เวลาก่อนนอน และหลีกเลี่ยงการทำงานใกล้เครื่องจักร หรือขับรถ
6.4 ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงทางการแพทย์
ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ สำหรับคนมีรูปแบบน้ำมันหยดใต้ลิ้น แคปซูล สเปรย์ฉีดพ่นใต้ลิ้น ยาเม็ด ยาเหน็บทวาร หรือรูปแบบแผ่นแปะบนผิวหนัง ผลิตภัณฑ์กัญชาจะมีสูตรแตกต่างกันตามสัดส่วน และปริมาณสารสำคัญ THC และ CBD ผลิตภัณฑ์กัญชาที่ได้รับการขึ้นทะเบียน (Registered drug) ขณะนี้มีอยู่ 3 รูปแบบ คือ ผลิตภัณฑ์THC สังเคราะห์ ผลิตภัณฑ์สารสกัดแคนนาบินอยด์จากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์สารสกัด CBD นอกจากนี้ในต่างประเทศยังมีผลิตภัณฑ์รักษาอาการเจ็บป่วยในสัตว์
6.5 การใชผลิตภัณฑกัญชาและกัญชงให้ได้ประโยชน์ทางการแพทย์ในปัจจุบัน
แนะนำโดยกรมการแพทย์ เพื่อใช้ในการดูแลรักษา และควบคุมอาการของผู้ป่วย เนื่องจากมีหลักฐานทางวิชาการที่มีคุณภาพสนับสนุนชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
(1) ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด (Chemotherapy induced nausea and vomiting) โดยแพทย์สามารถใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อรักษาภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัดที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล
(2) โรคลมชักที่รักษายากและโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา (Intractable epilepsy) ผู้สั่งใช้ควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท และได้รับการอบรมการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อการรักษาผู้ป่วย
(3) ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง (Spasticity) ในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis) แพทย์สามารถใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อบรรเทาอาการปวดและเกร็งในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล และ
(4) ภาวะปวดจากระบบประสาท (Neuropathic pain) แพทย์สามารถใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาในกรณี
ที่รักษาภาวะปวดจากระบบประสาทที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน
6.6 การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงทางการแพทย์น่าจะได้ประโยชน์ ในการควบคุมอาการ
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานแล้ว ไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ หากจะนำผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง มาใช้กับผู้ป่วยเฉพาะราย ปฏิญญาเฮลซิงกิ ของแพทยสมาคมโลก (ปี ค.ศ. 2013) ระบุว่ามีความเป็นไปได้หากไม่มีวิธีการรักษาอื่น ๆ หรือมีวิธีการรักษา แต่ไม่เกิดประสิทธิผล ภายหลังจากได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ และได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือญาติโดยชอบธรรมแล้ว แพทย์อาจเลือกวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงมาช่วยชีวิตผู้ป่วย ฟื้นฟูสุขภาพหรือลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย
+++++
7. หัวเรื่องที่ 7 ใช้กัญชาและกัญชงเป็นยาอย่างรู้คุณค่าและชาญฉลาด
7.1 ความเชื่อและความจริงเกี่ยวกับกัญชาและกัญชงทางการแพทย์
7.1.1 ความเชื่อเกี่ยวกับกัญชาและกัญชงในทางการแพทย์ได้แก่ ตำราสมุนไพรโบราณ กัญชาและกัญชงรักษาโรคมะเร็งได้ และกัญชาและกัญชงเป็นยารักษาชีวิตได้ ซึ่งความเชื่อบางอย่าง ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยรองรับ แต่ความเชื่อบางอย่างยังอยู่ในการศึกษาวิจัย จึงไม่ควรปฏิบัติตามจนกว่าจะมีผลการวิจัยความเชื่อที่ได้ศึกษา ในหัวข้อดังกล่าว
7.1.2 ความจริงเกี่ยวกับกัญชาและกัญชงทางการแพทย์ จากการวิจัยเกี่ยวกับการใช้กัญชาและกัญชงช่วยในการรักษาอาการ และโรคดังนี้ (1) อาการปวดเรื้อรังจากเส้นประสาท (2) อาการคลื่นไส้อาเจียน และเพิ่มความอยากอาหาร (3) โรคปลอกประสาทเสื่อม และ (4) โรคลมชัก
7.2 การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงทางการแพทย์ในอนาคตให้ได้ประโยชน์
เช่น โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม โรคเบาหวาน และโรคไตเรื้อรัง เป็นต้น จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลอย่างละเอียด ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2562) ยังมีข้อมูลหลักฐานทางวิชาการไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจึงควรได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันหากเลือกใช้ เฉพาะผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงในการรักษาแล้ว อาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษาได้
7.3 ข้อแนะนำก่อนตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงทางการแพทย์
มี 8 ข้อ ได้แก่
(1) ความสัมพันธ์ ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย เป็นพื้นฐานในการยอมรับการรักษาพยาบาล รวมถึงการ
ประเมิน ผู้ป่วยว่าเหมาะสมที่จะใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงหรือไม่
(2) การประเมินผู้ป่วย ข้อมูลประวัติที่เกี่ยวข้องกับอาการของผู้ป่วย
(3) การแจ้งให้ทราบ และตัดสินใจร่วมกัน
(4) ข้อตกลงการรักษาร่วมกัน
(5) เงื่อนไขที่เหมาะสม ในการตัดสินใจของแพทย์ในการสั่งใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง
(6) การติดตามอย่างต่อเนื่องและปรับแผนการรักษา
(7) การให้คำปรึกษา และการส่งต่อ
(8) การบันทึกเวชระเบียน จะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง
7.4 การวางแผนการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา
และกัญชงในการทดลองรักษาระยะสั้น เพื่อประเมินประสิทธิผลในการรักษาผู้ป่วย แผนการรักษาควรมีความชัดเจน ใน 6 ประเด็น ได้แก่
(1) วางเป้าหมายการเริ่มรักษา และการหยุดใช้ แพทย์ควรหารือร่วมกับผู้ป่วยให้ชัดเจน
(2) การบริหารจัดการโดยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป
(3) มีกระบวนการจัดการความเสี่ยง
(4) กำกับติดตาม ทบทวนทุกสัปดาห์ โดยแพทย์ หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ
(5) ให้ผู้ป่วยลงนามยินยอม
(6) ให้คำแนะนำผู้ป่วยเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงทางการแพทย์
7.5 การเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงกับผู้ป่วยในทางการแพทย์ ต้องคำนึงถึงข้อ
ปฏิบัติ 2 ประการ ได้แก่
(1) การซักประวัติอาการป่วยในปัจจุบัน ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติเจ็บป่วยทางจิต และโรคทางจิตเวช และอาการทางจิตจากการได้รับยารักษาโรคพาร์กินสัน ยารักษาโรคสมองเสื่อม และพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการติดสารเสพติด
(2) การกำหนดขนาดยา และการบริหารยา ไม่มีขนาดยาเริ่มต้นที่แน่นอนในผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงแต่ละชนิด ขนาดยาที่เหมาะสมขึ้น กับลักษณะของผู้ป่วยแต่ละคน โดยเริ่มต้นขนาดต่ำ และปรับเพิ่มขนาดช้า ๆ จนได้ขนาดยาที่เหมาะสม ส่งผลต่อการรักษาสูงสุด และเกิดผลข้างเคียงต่ำสุด ขนาดยาในระดับต่ำมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย
7.6 ข้อห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร THC และ CBD เป็นส่วนประกอบ
มี 4 ข้อ ได้แก่
(1) ผู้ที่มีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสารสกัดกัญชาและกัญชง
(2) ผู้ที่มีอาการรุนแรง หรือมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
(3) ผู้ที่เป็นโรคจิต หรืออาการของโรคอารมณ์แปรปรวน หรือโรควิตกกังวลมาก่อน
(4) สตรีมีครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร รวมทั้งสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่ได้คุมกำเนิด หรือสตรีวางแผนที่จะตั้งครรภ์
7.7 ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชง
7.7.1 ข้อควรระวังทางการแพทย์ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี เพราะมีผลข้างเคียงต่อสมองที่กำลังพัฒนา และไม่ควรใช้กับผู้ป่วยโรคตับ ผู้ติดสารเสพติด รวมถึงนิโคติน ผู้ดื่มสุราอย่างหนัก ผู้ใช้ยาในกลุ่มโอปิออยด์ (opioids) ยากล่อมประสาท เด็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการมากเพียงพอ
7.7.2 ขนาดของกัญชาและกัญชงที่ใช้ในทางการแพทย์ ในการรักษาโรค ยังไม่สามารถกำหนดขนาดการใช้ที่แน่นอนได้โดยต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล และมีหลักสำคัญคือ เริ่มทีละน้อยแล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาด ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรค หรือมีอาการต่างกัน จะใช้ขนาดยาต่างกัน โดยหากใช้ขนาดยากัญชาและกัญชงที่ไม่ถูกต้องจะเกิดการดื้อยา
7.7.3 ห้ามใช้น้ำมันกัญชาและกัญชงทาบุหรี่ เพราะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบบทางเดินหายใจ และไม่ควรใช้กับบุหรี่ไฟฟ้า อาจทำให้ปอดอักเสบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
7.7.4 สารตกค้างจากการสกัดน้ำมันกัญชาและกัญชง ในการเลือกผลิตภัณฑ์กัญชาและกัญชงต้องศึกษาว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวใช้สารสกัดชนิดใด มีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด การสกัดโดยตัวทำละลายแนฟทา หรือปิโตรเลียมอีเทอร์มีความปลอดภัยน้อยกว่าการสกัดด้วยเอทานอล หรือการต้มในน้ำมันมะกอก เนื่องจากพบการตกค้างของตัวทำละลายที่มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้และวิธีการสกัดใหม่ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ การสกัดโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลวและเอทานอล สกัดเย็น เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถสกัดได้ปริมาณมาก และได้สารแคนนาบินอยด์เข้มข้น
7.7.5 ความปลอดภัยของน้ำมันกัญชาและกัญชง ต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานการผลิตที่ดี ต้องผ่านการตรวจควบคุมคุณภาพ และสั่งจ่ายภายใต้แพทย์เภสัชกร และแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมการใช้กัญชาและกัญชง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์มาแล้ว
7.7.6 สายพันธุ์กัญชาและกัญชงเหมาะกับบางโรค จากการสังเกตการณ์เก็บข้อมูลจากงานวิจัย สารเคมีที่แตกต่างกันในกัญชาและกัญชงแต่ละสายพันธุ์ และผลการรักษาในผู้ป่วยแต่ละโรคในต่างประเทศ พบว่ากัญชาและกัญชงแต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับแต่ละโรคไม่เท่ากัน แต่ยังเป็นงานวิจัยขั้นต้น ต้องมีการศึกษาในเชิงลึกต่อไป
7.7.7 หลักธรรมนำชีวิตพ้นพิษภัยจากกัญชาและกัญชง การใช้พุทธธรรมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ทางด้านจิตใจให้มีความเข้มแข็ง โดยใช้ภูมิคุ้มกันทางครอบครัวที่เป็นความรักความอบอุ่นความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภูมิคุ้มกันจากสังคมสิ่งแวดล้อม ภูมิคุ้มกันจากกัลยาณมิตร รวมถึงการเสริมสร้างการเรียนรู้ที่เกิดจากตนเองเป็นผู้กำหนด เยาวชนของชาติส่วนใหญ่ที่หลงเข้าไปเสพยา หรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งกัญชาและกัญชง อาจเนื่องจากขาดความรักความอบอุ่น ขาดความรู้ความเข้าใจต่อสังคม เข้าใจว่าตนเองไม่มีคุณค่า และขาดความรู้ทางธรรมะพื้นฐาน
หากเราต้องการแก้ปัญหาเรื่องยาเสพติดของเยาวชน เราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ของเยาวชน รวมทั้งตัวเราควรได้เรียนรู้ปรับทัศนคติมุมมองด้วยการใช้ปัญญา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาของตนเอง ใน
ด้านครอบครัว สังคม และมิตร ให้ประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เสมือนเฟืองสามตัวขับเคลื่อนกลไกให้ทำงานในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการป้องกันมิให้เยาวชน รวมทั้งตัวเราได้มีโอกาสเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นการป้องกันในลักษณะการสร้างความพร้อมในการใช้ชีวิตเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นผู้ดูแลตนเองได้ โดยใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองให้อยู่ในสังคมเป็นพลเมือง ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็งที่เกิดจากกระบวนการใช้ปัญญาเป็นหลักที่ยึดเหนี่ยว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยมีพลเมืองที่มีคุณภาพนำพาประเทศให้มีความสุขสงบ เจริญรุ่งเรืองสืบไป
7.8 ข้อห้ามในการใช้กัญชาและกัญชงกับบุคคลต่อไปนี้
ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาทผิดปกติ ผู้ป่วยโรคหัวใจขั้นรุนแรงที่มีอาการความดันโลหิตต่ำลง หรือหัวใจเต้นเร็ว สตรีตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ผู้ป่วยโรคตับ โดยถ้าจำเป็นต้องใช้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
7.9 การถอนพิษเบื้องต้นจากการเมากัญชาและกัญชง
ที่มีอาการมึนศีรษะ โคลงเคลงแน่นหน้าอกจากการใช้กัญชาและกัญชงเกินขนาด มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ วิธีที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง หรือน้ำตาลทราย วิธีที่ 2 ดื่มสมุนไพรรางจืด และวิธีที่ 3 รับประทานกล้วยน้ำว้าสุก วันละ 3 เวลา เวลาเช้ากลางวัน และเย็น
+++++
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับเหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง กัญชาและกัญชงพืชยาที่ควรรู้โทษและประโยชน์ รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กัญชากับการแพทย์ทางเลือกกัญชาและกัญชงกับการแพทย์แผนปัจจุบัน และใช้กัญชาและกัญชงเป็นยาอย่างรู้คุณค่าและชาญฉลาด
2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์ รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยาไปแนะนำบุคคลในครอบครัว หรือเพื่อนหรือชุมชนได้
3. เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักถึงเหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง โทษและประโยชน์กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการนำกัญชาและกัญชงไปใช้เป็นยาในการแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก และการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างรู้คุณค่าและชาญฉลาด
+++++
ขอบข่ายเนื้อหา
หลักสูตรรายวิชา ทช33098 กัญชาและกัญชงศึกษา เพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด จำนวน 120 ชั่วโมง มีขอบข่ายเนื้อหาต่อไปนี้
หัวเรื่องที่ 1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง จำนวน 10 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 2 กัญชาและกัญชง พืชยาที่ควรรู้ จำนวน 15 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 3 รู้จักโทษและประโยชน์ของกัญชาและกัญชง จำนวน 15 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 4 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชง จำนวน 15 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 5 กัญชากับการแพทย์ทางเลือก จำนวน 25 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 6 กัญชาและกัญชงกับการแพทย์ปัจจุบัน จำนวน 20 ชั่วโมง
หัวเรื่องที่ 7 ใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา อย่างรู้คุณค่าและชาญฉลาด จำนวน 20 ชั่วโมง
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ ONIE MODEL โดยครูผู้สอนมีวิธีการจัดประสบการณ์ ดังนี้
1. บรรยายสรุป
2. กำหนดประเด็นศึกษาค้นคว้าร่วมกัน
3. ศึกษาค้นคว้าจากสื่อที่หลากหลาย
4. บันทึกผลการศึกษาค้นคว้าที่ได้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) และนำมาพบกลุ่ม
5. พบกลุ่ม
6. อภิปราย
7. คิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูลที่ได้กับเพื่อนผู้เรียนและครูผู้สอน
8. คิดสรุปการเรียนรู้ที่ได้ใหม่ร่วมกัน บันทึกลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.)
9. นำข้อสรุปที่ได้ใหม่มาฝึกปฏิบัติด้วยการทำแบบฝึกหัด และกิจกรรมตามมอบหมาย
10. จัดทำรายงานการศึกษาการนำกัญชาและกัญชงไปใช้ทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และการแพทย์แผนปัจจุบันตามที่สนใจ
11. นำเสนอผลการศึกษาต่อเพื่อนผู้เรียนและครูผู้สอน
12. บันทึกผลการเรียนรู้ที่ได้จากการปฏิบัติลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.)
หมายเหตุ ในแต่ละหัวเรื่องครูผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ข้างต้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาและตัวชี้วัดหรือเลือกใช้วิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิธีอื่น ๆ ก็ได้แต่ให้ยึดตามตัวชี้วัดเป็นสำคัญ
สื่อและแหล่งเรียนรู้
หลักสูตรรายวิชา ทช33098 กัญชาและกัญชงศึกษา เพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด มีสื่อและแหล่งเรียนรู้ ประกอบด้วย (1) สื่อเอกสาร ได้แก่ ใบความรู้ ใบงาน สื่อหนังสือเรียนและสื่อหนังสือที่เกี่ยวข้อง (2) สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง และ (3) สื่อแหล่งเรียนรู้ในชุมชนได้แก่ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ห้องสมุดประชาชนอำเภอ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดห้องสมุดใกล้บ้าน รายละเอียดของสื่อและแหล่งเรียนรู้สามารถศึกษาได้จากหัวข้อสื่อและแหล่งเรียนรู้ในรายละเอียดของแต่ละหัวเรื่องลำดับถัดไปจากโครงสร้างหลักสูตรนี้