23 เมษายน 2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุม มีมติรับทราบและเห็นชอบ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
- รับทราบผลการรวบรวมข้อมูล ความเห็น ข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ โดยคณะทำงานรวบรวมข้อมูล ความเห็น ข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะของทุกภาคส่วน (คณะทำงานฯ)
- เห็นชอบในหลักการกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (โครงการฯ) และหน่วยงานตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ มอบหมาย
กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ มอบหมายหน่วยงาน รับไปดำเนินการ ใน 3 เรื่อง หลัก คือ แหล่งเงิน การประชาสัมพันธ์โครงการต่อประชาชน และการกำกับดูแล ดังนี้
- แหล่งเงินการดำเนินโครงการฯ : มอบหมายให้สำนักงบประมาณ (สงป.) กค. และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการ
- ประชาสัมพันธ์โครงการ : มอบหมายคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet (คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการฯ) ที่จะจัดตั้งขึ้นร่วมกับ กค. กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบละเอียดโครงการฯ การลงทะเบียนโครงการฯ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การกำกับดูแลในการดำเนินโครงการฯ ควรมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ข้อกฎหมายรวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ และเคร่งครัด
หลักการโครงการ
ครม.เห็นขอบกรอบหลักการโครงการฯ ตามมติ ของ คณะกรรมการนโยบายฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประโยชน์ของโครงการ
จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้กระจายตัวไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน โดยการดำเนินโครงการฯ ที่มีขอบเขตและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมและช่วยดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายฯ ได้พิจารณากำหนดกรอบการดำเนินโครงการฯ ที่ระมัดระวังและป้องกันความเสี่ยงทางด้านการคลัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด กลุ่มเป้าหมาย-ประเภทร้านค้า-ประเภทสินค้า
วัตถุประสงค์
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง เกษตรกร เป็นต้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวและชุมชนมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งสร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
กลุ่มเป้าหมาย
ประชาชนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) กลุ่มประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน
(2) สัญชาติไทย
(3) มีอายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน
(4) ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี
(5) เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
แนวทางการเข้าร่วมโครงการฯ
(1) ประชาชนทุกคนต้องยืนยันตัวตนก่อนเข้าร่วมโครงการฯ โดยให้กลุ่มผู้ใช้สิทธิยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ
(2) ตรวจสอบสถานะบุคคลและที่อยู่ตามทะเบียนบ้านกับข้อมูลกรมการปกครองของผู้ใช้สิทธิ
(3) ประชาชนเปิดแอปพลิเคชันเพื่อแสกน QR Code ณ ร้านค้าในพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน
ทั้งนี้ ผู้จัดทำระบบจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางการเข้าร่วมโครงการฯ ของประชาชนข้างต้น ตลอดจนเงื่อนไขอื่นที่อาจเพิ่มเติมภายหลัง (หากมี)
เงื่อนไขการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า
(1) การใช้จ่ายเชิงพื้นที่ระหว่างประชาชนและร้านค้าในระดับอำเภอ (878 อำเภอ)
(2) การชำระเงินภายใต้โครงการฯ ต้องเป็นแบบพบหน้า (Face to Face)
(3) กำหนดให้ประชาชนใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กและร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก
ประเภทร้านค้า
ร้านค้าที่จะเข้าโครงการฯ แบ่งตามการรับการใช้จ่ายได้ ดังนี้
(1) ร้านค้าที่สามารถรับการใช้จ่ายจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก - ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น
(2) ร้านค้าที่สามารถรับการใช้จ่ายจากร้านค้าไม่มีการกำหนดเงื่อนไข
ทั้งนี้ รูปแบบและขั้นตอนการยืนยันตัวตน และเงื่อนไขการสมัครและวิธีการสมัครของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามที่ พณ. กำหนด
ประเภทสินค้า
(1) กำหนดให้สินค้าทุกประเภทเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ยกเว้นสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ (Negative List) ซึ่งได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ มอบหมายให้ พณ. พิจารณาสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติมได้
(2) การใช้จ่ายตามโครงการฯ ไม่รวมถึงบริการ
เงื่อนไขการใช้จ่าย การถอนเงิน
เงื่อนไขการใช้จ่ายระหว่างร้านค้า
- ไม่กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเชิงพื้นที่ระหว่างร้านค้ากับร้านค้าในระดับอำเภอและการชำระเงินภายใต้โครงการฯ ต้องเป็นแบบพบหน้า (Face to Face)
เงื่อนไขคุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ได้
ร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ได้แก่
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) หรือ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT) หรือ
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร
เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินในโครงการฯ และการถอนเงินสดจากโครงการฯ
- วิธีการใช้จ่ายเงิน : การใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ
(1.1) รอบที่ 1 เป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กจนถึงร้านค้าสะดวกซื้อขนาดเล็กเท่านั้น ทั้งนี้ เงื่อนไขร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปตามที่ พณ. กำหนด
(1.2) ตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป เป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ทั้งนี้ ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขร้านค้า
- ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันที หลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป
- ร้านค้าที่จะสามารถถอนเงินสดได้เฉพาะร้านที่มีคุณสมบัติตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ โดยมีการยื่นขอเบิกจ่ายผ่านผู้จัดทำระบบและผู้จัดทำระบบมีหน้าที่โอนเงินให้ร้านค้าที่เบิกจ่ายโดยตรง
แหล่งเงิน 500,000 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการฯ
แหล่งเงินในการดำเนินโครงการฯ
เป็นเงินจำนวน 500,000 ล้านบาท จำแนกได้ ดังนี้
- เงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้มีแหล่งเงินในการรองรับการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
- การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท ซึ่งจะพิจารณานำมาสนับสนุนการดำเนินนโยบายรัฐภายใต้วัตถุประสงค์และกฎหมายจัดตั้งของหน่วยงานรัฐนั้นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร ทั้งนี้ ในการดำเนินการต้องสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอยู่ภายใต้ขอบเขตหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานดังกล่าวด้วย
- การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีความล่าช้าในการประกาศใช้ จึงอาจพิจารณาแนวทางการบริหารเงินงบประมาณในปี 2567 ร่วมกับสำนักงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์การใช้งบประมาณ เช่น การปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นหรืองบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 การใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นต้น
ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ไม่เกินเดือนกันยายน 2569
ระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ
เนื่องจากมีแนวทางการใช้แหล่งเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และ พ.ศ. 2568 ในการดำเนินโครงการฯ ดังนั้น จึงจะต้องมีการพิจารณาระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับแหล่งเงินดังกล่าว โดยระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จะต้องไม่เกินเดือนกันยายน 2569 แนวทางการตรวจสอบ และผู้พัฒนาระบบ
แนวทางการตรวจสอบและวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์
คณะกรรมการนโยบายฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- คณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมีหน้าที่และอำนาจ เช่น กำหนดแนวทางการตรวจสอบ พิจารณา และวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ รวมถึงการกระทำที่อาจฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการดำเนินการตามโครงการฯ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนโครงการฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายฯ โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน
- คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการฯ ซึ่งสามารถกำหนดรายละเอียดที่ไม่ขัดต่อกรอบหลักการเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ ได้ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน
ผู้พัฒนาและดำเนินการระบบ
มอบหมายให้ สพร. และ ดศ. เป็นผู้พัฒนาและดำเนินการระบบสำหรับโครงการฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ประชาชน
(1.1) ระบบลงทะเบียนและตรวจสอบคุณสมบัติกลุ่มเป้าหมายตามเงื่อนไขโครงการฯ เช่น อายุ เงินได้พึงประเมิน เงินฝาก เป็นต้น
(1.2) ระบบยืนยันตัวตนสำหรับประชาชนและการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครอง
- ร้านค้า ระบบลงทะเบียนและตรวจคุณสมบัติร้านค้า (ตามเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด)
- ระบบการใช้จ่าย
(3.1) ระบบการใช้จ่ายรอบที่ 1: การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กจนถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กเท่านั้น
(3.2) ระบบการใช้จ่ายรอบที่ 2 ขึ้นไป: การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ทั้งนี้ ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขร้านค้า
- ระบบการชำระเงิน
(4.1) ระบบการใช้จ่ายสำหรับการชำระบัญชี (Clearing and Settlement) ระหว่างบัญชีของประชาชนและบัญชีของร้านค้าที่ธนาคารที่รับชำระเงิน (Open Loop)
(4.2) ระบบการชำระเงินให้ผู้ประกอบการร้านค้าโดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขแหล่งเงิน
(4.3) ตรวจสอบร้านค้าที่ตรงตามเงื่อนไขในการถอนเงินได้ (ร่วมกับกรมสรรพากร)
(4.4) ระบบเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยรับงบประมาณและเบิกจ่ายเงิน โดยจะต้องกระทบยอด (Reconcile) ความถูกต้องของเงินที่จะเบิกจ่าย
ทั้งนี้ ระบบการใช้จ่ายระหว่างประชาชนและร้านค้าเป็นระบบเปิด (Open Loop) ที่ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของทุกรายการใช้จ่ายตามเงื่อนไข รวมถึงการชำระบัญชีของโครงการฯ ตามเงื่อนไขทั้งหมดจนจบโครงการและบริหารจัดการภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ระบบอื่น ๆ เช่น
(5.1) ระบบตรวจสอบธุรกรรม (Transaction) ที่มีความต้องสงสัยเข้าข่ายการกระทำผิดเงื่อนไข (Fraud)
(5.2) ระบบอื่น ๆ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้โครงการฯ สามารถขับเคลื่อนได้สำเร็จ
(5.2.1) กำหนดวันที่ในการลงทะเบียนร้านค้า วันที่ลงทะเบียนประชาชน และวันที่เริ่มใช้จ่าย
(5.2.2) ระบบที่เตรียมให้ประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีการให้ยืนยันหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และความยินยอมสำหรับประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ (Consent)
(5.3) กำหนดชื่อเว็บไซต์และจำทำเว็บไซต์ (Website) สำหรับใช้ดำเนินโครงการ