ศบค.แถลงข่าวสถานการณ์โควิด-19
ประจำวันที่ 10 พ.ค. 64 ว่า มีรายงานการ
พบผู้ติดเชื้อโควิด19 สายพันธุ์อินเดีย (Indian variant) รายแรกในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดังนี้
- เป็นหญิงชาวไทย อายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ 25 สัปดาห์
- ภูมิลำเนาอยู่ที่ปากีสถาน เดินทางจากปากีสถานถึงไทยตั้งแต่ 24 เม.ย. 64
- มีการแวะพักเครื่องที่ดูไบ
- เดินทางมาพร้อมบุตรชาย 3 คน อายุ 4, 6 และ 8 ปี
- ได้รับการจัดให้อยู่ใน State Quarantine มีการเฝ้าระวังโควิด-19
- หญิงได้พักกับบุตรชาย อายุ 4 ปี ส่วนบุตรอายุ 6 และ 8 ปี อยู่ร่วมกันอีกห้องหนึ่ง
- วันที่ 26 เมษายน การตรวจครั้งที่ 1 ทั้งหญิงและลูก 4 ขวบผลเป็นบวก (ติดเชื้อ) ส่วนบุตรชายอีก 2 ราย เป็นลบ
- ด้วยความรุนแรงของสายพันธ์ุอินเดียมีมากขึ้นในต่างประเทศ วันที่ 9 พฤษภาคม จึงทำการตรวจอีกครั้ง เป็นการตรวจด้วยวิธี Whole Genome Sequencing โดยศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พบยืนยันว่าเป็น "สายพันธุ์อินเดีย B1.617.1"
สายพันธุ์อินเดียนี้ระบาดในอินเดียตั้งแต่ ตุลาคม 2563 เริ่มมีรายงานไปยังปากีสถาน บังคลาเทศ และเนปาล รายงานพบใน ยุโรปในอังกฤษ เยอรมัน อเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่นและบาห์เรน
โควิด-19 สายพันธุ์ B.1.617 นี้มีการกลายพันธุ์ 13 ตำแหน่ง แต่มีการกลายพันธุ์อยู่ 3 ตำแหน่งที่น่าเป็นกังวล
E484Q - การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 484 ซึ่งเป็นการทดแทนกรดกลูตามิกเป็นกลูตามีน ทำให้ไวรัสมีศักยภาพในการจับกับตัวรับในร่างกายของมนุษย์ได้ดีขึ้น รวมถึงมีความสามารถในการหลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโฮสต์ได้ดีขึ้น
L452R - การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 452 ซึ่งเป็นการทดแทนลิวซีนด้วยอาร์จินีน ทำให้โปรตีนหนามของไวรัสแข็งแกร่งขึ้น และทำให้ความสามารถในการรับรู้ของระบบภูมิคุ้มกันลดลง
P681R - การกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 681 ซึ่งเป็นการทดแทนโปรลีนด้วยอาร์จินีน อาจช่วยเพิ่มโอกาสการติดเชื้อในระดับเซลล์
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังดำเนินการเพื่อยืนยันว่า สายพันธุ์ B.1.617 มีอันตรายมากกว่าสายพันธุ์อื่นหรือไม่ เช่น การแพร่กระจายเร็วขึ้นทำให้เกิดโรคที่รุนแรงขึ้นหรือไม่ หรือสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือจากการฉีดวัคซีนได้หรือไม่
หากการศึกษาในห้องปฏิบัติการ การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา และงานวิจัยอื่น ๆ ยืนยันว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์นี้มีปัญหามาก ก็จะได้รับการอัปเกรดเป็น “สายพันธุ์ที่ต้องกังวล”