โควิดเดลต้าระบาดในจีน พบในเมืองหนานจิง ปักกิ่งและอีก 5 มณฑล นับเป็นการระบาดใหญ่สุดตั้งแต่กรณีเมืองอู่ฮั่น
โกลบอลไทม์จากจีน รายงานว่า การระบาดของโควิดจากสนามบินหนานจิง เมืองหลวงของมณฑลเจียงสู แพร่กระจายออกไปยังมณฑลอื่นๆ อีก 5 มณฑล รวมถึงกรุงปักกิ่งแล้ว นับเป็นการระบาดใหญ่สุดตั้งแต่กรณีเมืองอู่ฮั่นเป็นต้นมา
เริ่มจากมีการพบผู้ติดเชื้อยืนยันรายแรกเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64 ที่ผ่านมา ที่สนามบินหนานจิงลู่เข่า (Nanjing Lukou International Airport) จนขณะนี้พบอีกกว่า 200 ราย ในวันพฤหัสที่ 29 ก.ค. 64 กระจายไปในหลายเมือง ได้แก่ เมืองเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ และเมืองเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ด้วยเหตุที่สนามบินหนานจิง เป็นสนามบินนานาชาติ มีเที่ยวบินจำนวนมากทั้ง เที่ยวบินระหว่างประเทศและในประเทศ ทำให้เป็นจุดแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งกรณีนี้ต่างจากกรณีการระบาดเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองต่างๆ ช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเมืองเล็กๆ เหล่านั้นไม่มีสนามบินขนาดใหญ่ ทำให้สามารถจำกัดและควบคุมการระบาดได้
จางจาเจี้ย (Zhangjiajie) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในมณฑลเหอหนาน ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง "อวตาร์" ของผู้กำกับดัง เจมส์ คาเมรอน ในขณะนี้ เชื่อกันว่าเป็นอีกจุดสำคัญในวงจรการระบาดรอบนี้ หลังจากที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อ 4 รายที่สนามบินลู่เข่า (Lukou Airport) ทั้ง 4 ได้ไปชมการแสดงที่จางจาเจี้ย ที่มีผู้ชมอีกกว่า 200 คน เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ขณะที่ทางกรุงปักกิ่งรายงานพบผู้ติดเชื้อ 2 ราย เดินทางกลับมาจาก จางจาเจี้ย ในวันพฤหัสบดีที่ 29 ก.ค.
การระบาดเป็นวงกว้างอย่างไม่คาดคิดจากหนานจิงครั้งนี้ ส่งผลทางจิตวิทยาอย่างมากต่อสาธารณะ มีการยกเลิกแผนท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนออกไป ขณะที่ประชาชนหันกลับมาเพิ่มความระมัดระวังป้องกันตนเองมากขึ้นอีกครั้ง
"ถึงเวลาที่ต้องกลับมาพิจารณามาตรการตรวจตราและป้องกันระบาดอีกครั้งแล้ว" Wang Guangfa ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าว และชี้ว่า "แม้แต่เมืองที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหนานจิงก็ตาม ก็ยังต้องตื่นตัวเฝ้าระวัง"
ทำให้หลายเมืองในประเทศจีน ต้องยกระดับการตรวจคัดกรองผู้ที่เกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดกับใครก็ตามที่เคยเดินทางไปหนานจิงหรือเมืองอื่นๆ ที่ถูกระบุว่าพบผู้ติดเชื้อ อาทิเช่น เมือง Handan, มณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือ, Hulun Buir ในอินเนอร์มองโกเลีย ซึ่งเมืองเหล่านี้ ได้ออกรายงานการว่ามีการตรวจพบผู้ป่วยที่เกี่ยวพันธ์กับผู้ป่วยที่พบในหนานจิง
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมาจากภายนอกประเทศ
กรณีการระบาดที่หนานจิงครั้งนี้ เกิดจากผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมาจากภายนอกประเทศ (Imported cases) ส่งผลให้ต้องยกระดับมาตรการเข้า-ออก และการเดินทางระหว่างสนามบินเข้มงวดขึ้นอีก แม้ว่าจะทางเมืองหนานจิงจะตรวจพบการแพร่ระบาดล่าช้าแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากเพิ่งเป็นช่วงต้นของการระบาด และการใช้มาตรการเข้มข้นทันที ทำให้ขณะนี้ทางการสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
กระบาดครั้งนี้นับว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ ซึ่งแตกต่างจากการระบาดที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ
"ความตื่นตัวและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอยู่เสมอนั้น เป็นบทเรียนสำคัญที่ประชาชนต้องเรียนรู้จากกรณีที่เกิดขึ้นที่หนานจิง" ศ.โจวซื่อชิน (Zhou Zijun) แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าวและเสริมว่า "มาตรการป้องกันและควบคุมเชื้อไว้รัสเป็นมาตรการที่ต้องทำเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสถานที่อย่างสนามบินนานาชาติ ที่เป็นจุดเริ่มของการแพร่เชื้อ การกักตัวและการตรวจทดสอบการทดสอบกรดนิวคลีอิก (nucleic acid tests) มีความจำเป็น แม้แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ก็อาจมีอาการเพียงเล็กน้อยหลังได้รับเชื้อ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองนั้นติดเชื้อ จนขาดความระมัดระวัง และเขาเน้นว่าควรมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิ (booster shot) ให้ประชาชน แต่ต้องภายหลังจากผลการศึกษาทางคลินิกระยะที่ 3 ออกมาแล้ว ว่าจะมีผลอย่างไรด้วย"
ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์บอกกับสื่อว่า ผู้ติดเชื้อที่พบส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว ขณะที่รายงานจากเมืองหนานจิง ระบุว่า มีผู้ป่วย 7 รายอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง ยิ่งเสริมข้อวิตกของชาวเน็ตจีนเกี่ยวกับประสิทธิผลของวัคซีน รวมถึงข้อสงสัยที่ว่าวัคซีนเป็นวิธีป้องกันการป่วยหนักได้ดีที่สุดจริงหรือไม่
Shao Yiming ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ป้องกันโรคติดต่อจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention) กล่าวว่า "วัคซีนที่มีขณะนี้ยังได้ผลดีกับทุกสายพันธุ์ แม้ว่าประสิทธิภาพการป้องกันต่อสายพันธุ์ต่างๆอาจต่ำลง แต่ไม่มีความต่างมากนักในประสิทธิภาพการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่างๆ "
Global Times 30 July 2021
