อุบัติการณ์
จากการสำรวจในประชากรไทยอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ในปี พ.ศ. 2543 พบว่าผู้ที่มีความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์สูงมีอยู่ร้อยละ 22 และประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการและมักจะไม่ได้รับประทานยารักษาอย่างถูกต้อง หรือแม้จะได้รับยารักษาความดันโลหิตแล้ว ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่สามารถควบคุมให้ความดันโลหิตลดลงมาเป็นปกติได้
วิธีการวัดความดันโลหิต
วิธีการวัดความดันโลหิตที่เป็นมาตรฐาน คือ การวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทที่พบเห็นตามห้องตรวจของโรงพยาบาลโดยทั่วไป วิธีการวัดความดันโดยใช้เครื่องแบบอื่นๆ เช่น เครื่องอัตโนมัตที่แสดงตัวเลขไม่ได้เป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีใช้เครื่องวัดแบบปรอท ค่าความดันที่วัดได้จะออกมา 2 ค่า คือ ตัวเลขค่าสูงและค่าต่ำ ค่าสูง คือ ระดับความดันโลหิตตอนที่หัวใจบีบตัว ค่าต่ำ คือ ระดับความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว ตัวเลขทั้งสองค่าจะรายงานเป็นมิลลิเมตรปรอท
ระดับของความดันโลหิตที่ถือว่าสูงผิดปกติ คือ ค่าสูงตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป หรือค่าต่ำสูงตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป โดยระดับความดันทั้งสองค่านี้ยิ่งสูงมากก็ยิ่งจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆได้มากตามลำดับ
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ
แพทย์มักจะตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น ดังนี้
1 .ตรวจปัสสาวะ
2. ตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของไต ระดับเกลือแร่ในร่างกาย ตลอดจนตรวจปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ต่อโรค
หลอดเลือดหัวใจไปพร้อมกัน (เช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไขมันในเลือด)
3. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การพยากรณ์โรค
การพยากรณ์โรคของผู้เป็นความดันโลหิตสูงขึ้นอยู่กับ
1.ระดับของความดันโลหิต ยิ่งสูงมากยิ่งเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนในอนาคตได้มาก
2.ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งโรคเบาหวาน
3.โรคต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็นร่วมกันอยู่ เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง เช่น อัมพาต การมีปัจจัยเสี่ยงมากและมีโรคร่วมหลายโรคยิ่งทำให้การพยากรณ์โรคไม่ดี
หลักการดูแลสุขภาพทั่วไป
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เลิกสูบบุหรี่
2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้พอเหมาะ ไม่อ้วนเกินไป
3. ลดการดื่มสุรา
4. ลดการรับประทานอาหารที่เค็มจัด
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
6. รับประทานอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และลดปริมาณไขมันรวมในมื้ออาหาร
การพิจารณาให้ยาเพื่อลดความดันโลหิต
แพทย์จะให้ยาลดความดันโลหิตแก่ผู้ป่วยในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงตั้งแต่แรก ลักษณะของผู้ป่วยในกลุ่มนี้ คือ
1. มีความดันโลหิตสูงระดับรุนแรง
2. มีโรคเบาหวาน
3. มีโรคต่างๆที่เป็นร่วมกับความดันโลหิตสูง ดังได้กล่าวแล้ว
4. มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป (ปัจจัยเสี่ยง คือ อายุเกิน 45 ปี ในเพศชาย ,เกิน 55 ปีในเพศหญิง, การสสูบบุหรี่, ไขมันในเลือดผิดปกติ, ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองในครอบครัว)
ส่วนผู้ป่วยที่ความเสี่ยงยังไม่สูงมาก แพทย์อาจแนะนำให้ดูแลสุขภาพทั่วไปตามวิธีการข้างต้นที่กล่าวมาแล้วเสียก่อน แล้วนัดตรวจวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ถ้าหากความดันโลหิตไม่ลดลงหรือเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงค่อยให้ยาลดความดัน
หลักในการให้ยาลดความดันโลหิต
1. ควรเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์นานครอบคลุมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลักษณะการออกฤทธิ์ของยาดังกล่าว จะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาวันละครั้งก็พอ ทำให้สะดวกและไม่ลืมรับประทานยา นอกจากนี้การใช้ยาที่ควบคุมความดันโลหิตได้สม่ำเสมอตลอดเวลา จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ดีกว่าการใช้ยาที่ออกฤทธิ์สั้น ซึ่งนอกจากจะรับประทานยาวันละหลายครั้งแล้วยังอาจทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นได้ง่ายขณะที่ยาหมดฤทธิ์และอาจลดลงต่ำมากเกินหลังจากการรับประทานยามื้อต่อไป
2. จากการศึกษาพบว่า โรคแทรกซ้อนทั้งทางด้านโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมองมักจะเกิดกำเริบขึ้นในช่วงตอนตื่นนอนเช้า ซึ่งถ้าหากความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วงนั้น ก็จะทำให้โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนมีมากกว่าเดิม การใช้ยาที่ออกฤทธิ์นานครอบคลุมถึงช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ดีกว่ายาที่ออกฤทธิ์สั้น
3. ควรเริ่มใช้ยาในขนาดต่ำ 1 ถึง 2 ชนิดและค่อยๆปรับยา โดยต้องรอเวลาให้ยาที่ใช้ไปออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่เสียก่อน
4. เมื่อยาขนานใดเกิดผลข้างเคียงขึ้น แพทย์จะพิจารณาให้หยุดยาและเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่นๆในขนาดต่ำ
ยาที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตที่มีใช้ในปัจจุบันแทบทุกชนิดจะมีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตได้ใกล้เคียงกัน แต่แพทย์จะเลือกใช้ยาโดยอาศัยหลักดังต่อไปนี้
1.ยาชนิดนั้นๆ มีหลักฐานการยืนยันทางการแพทย์ว่า สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทางด้านหัวใจและหลอดเลือดลงมาได้อย่างแน่นอน
2. ยาชนิดนั้นๆ ควรจะเกิดประโยชน์ต่อโรคอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจมีอยู่นอกจากโรคความดันโลหิตสูง เช่น
โรคหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือด โรคต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
3. ยาชนิดนั้นๆ ไม่ควรก่อผลเสียต่อโรคอื่นๆที่ผู้ป่วยอาจจะมีอยู่นอกจากโรคความดันโลหิตสูง เช่น ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานสูงกว่าเดิมไม่ทำให้เกิดโรคเกาท์กำเริบไม่ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงกว่าเดิม เป็นต้น
4. ยาชนิดนั้นๆ มีผลข้างเคียงน้อย และมีราคาที่เหมาะสม
เป้าหมายความดันโลหิตที่ต้องการ
เป้าหมายหลักของการรักษาความดันโลหิตสูง คือ การพยายามให้ผู้ป่วยมีอายุยืนและลดความเสี่ยงระยะยาวของโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด
จากหลักฐานในปัจจุบันสรุปได้ว่า ควรต้องลดความดันโลหิตทั้งความดันค่าสูงและค่าต่ำลงมาให้ต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทลงมาเป็นอย่างน้อย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานหรือโรคไตควร ต้องลดความดันโลหิตลงมาให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท ประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจาการรักษาอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ดังกล่าว คือ สามารถลดโอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหัวใจขาดเลือดได้มากกว่าร้อยละ 20 สามารถลดโอกาสอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมองได้มากกว่าร้อยละ 40 สามารถลดโอกาสเกิดโรคหัวใจล้มเหลวได้ร้อยละ 50 ตลอดจนความเสี่ยงของโรคไตวายเรื้อรังลงมาได้อย่างชัดเจน
สรุป
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อน ซึ่งอันตรายและอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือควรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โรคนี้อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะเริ่มแรก ทำให้ผู้ที่เป็นโรคละเลยต่อการรักษาควบคุมให้ถูกต้องตามวิธีการ
โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จำเป็นจะต้องได้รับยา เพื่อลดความดันโลหิต ยาที่ออกฤทธิ์นานครอบคลุมได้ตลอด 24 ชั่วโมง น่าจะป้องกันโรคแทรกซ้อนได้ดีกว่ายาที่ออกฤทธิ์สั้น การรักษาควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง สามารถลดอัตราการเสียชีวิต และอัตราเกิดโรคแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้อย่างมาก และถ้าหากอยู่ในความควบคุมของแพทย์อย่างสม่ำเสมอผู้ป่วยจะไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยา จึงถือว่าเป็นการรักษาที่คุ้มค่าที่สุด
จากเอกสารเผยแพร่ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย)จำกัด