DJ: คุณรัตนาทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?
รัตนา : เมื่อเดือน กันยายน 2554 ค่ะประมาณ 1 ปีแล้ว
DJ: ทราบได้อย่างไรคะ?
รัตนา : ทราบจากการตรวจสุขภาพประจำปีค่ะ คือ ได้ตรวจแมมโมแกรมแล้วพบมามีก้อนเนื้อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 cm ที่เต้านมข้างซ้ายค่ะ แต่ต้องบอกก่อนว่า ปกติตรวจแมมโมแกรมทุกปี และเมื่อประมาณปี 51-52 ที่ผ่านมาก็ตรวจเต้านมด้วยตัวเองแล้วพบก้อนเล็กๆนี้อยู่แล้ว ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว จึงมาพบแพทย์และแพทย์ก็แนะนำให้เอาออก แต่ดิฉันคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก และตัวเองคงไม่โชคร้ายหรอก ก็เลยปล่อยมาเรื่อยๆ จนขนาดใหญ่เท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 cm. อย่างที่บอกข้างต้น
DJ: มีสัญญาณอื่นๆร่วมด้วยไหมคะ อย่างเช่น เจ็บหน้าอก ?
รัตนา : ด้วยปกติดิฉันเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว ก็เลยไม่เคยสังเกตอาการเท่าไหร่ และคิดว่าบางทีการเจ็บหน้าอกน่าจะมาจากการออกกำลังกายของเราค่ะ
DJ: ความรู้สึกแรกที่ทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมล่ะคะ รู้สึกอย่างไรบ้าง?
รัตนา : เสียใจมาก ร้องไห้ เพราะเราไม่คิดว่าเราจะเป็น เราคิดว่าตัวเองแข็งแรงมาตลอด และที่เสียใจที่สุดคือ เราไม่เชื่อแพทย์ที่ให้เราผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนั้นออกตั้งแต่ที่มันยังเป็นเมล็ดถั่วอยู่
DJ: อะไรที่เป็นกำลังใจให้คุณรัตนาลุกขึ้นมาต่อสู้กับโรคคะ?
รัตนา : ดิฉันมั่นใจในตัวแพทย์ค่ะ คุณหมอบอกกับดิฉันว่า “มันเป็นเนื้อที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนอะ” เราต้องเอามันออกไปนะ ไม่เจ็บหรอก รวมถึงเคยมีญาติเคยมารักษากับท่านแล้วหายด้วยค่ะ เลยทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น
DJ: ตอนที่พบเนื้อร้ายนี้ในปี 54 คุณหมอบอกกับคุณรัตนาว่า เป็นระยะไหนแล้วคะ?
รัตนา : ระยะที่ 2 แล้วค่ะ
DJ: ด้วยความที่ได้ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เลยทำให้ทราบเร็ว และหลังจากที่ผ่าตัดก้อนเนื้อที่ไม่ดีออกไปแล้ว คุณหมอแนะนำวิธีการรักษาต่ออย่างไรบ้างคะ?
รัตนา : พูดถึงตอนผ่าตัดก่อนนะคะ ตอนนั้นญาติๆก็กังวลต่างช่วยกันแนะนำวิธีการรักษาแบบต่างๆ เช่น กินสมุนไพร กินยาหม้อบ้าง แต่ดิฉันมั่นใจในตัวแพทย์ของรพ.วิภาวดีจึงตัดสินใจผ่าตัด และได้เลยไปหาคุณแม่แล้วบอกกับท่านเรื่องอาการป่วยซึ่งท่านทราบเป็นคนสุดท้ายเลยค่ะ แล้วท่านก็บอกกับดิฉันว่าเป็นได้ก็ต้องหายได้นะลูก ทำให้ดิฉันจึงมีกำลังใจมากขึ้นด้วย ที่สำคัญเคยมีญาติป่วยเป็นโรคเดียวกันผ่าตัดแล้วก็หายด้วยค่ะ
DJ: แสดงว่าคุณรัตนามีกรรมพันธุ์เป็นด้วยใช่ไหมคะ?
รัตนา : เป็นญาติห่างๆค่ะ
DJ: การผ่าตัดของคุณรัตนาเป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งเต้านม หรือเอาออกแค่บางส่วนคะ?
รัตนา : ผ่าตัดเอาออกไปทั้งเต้าเลยค่ะ และหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ก็ต้องไปให้ คีโม ต่อ และด้วยความเป็นระยะที่ 2 คุณหมอแนะนำ ว่าให้คีโม 6 ครั้ง และให้ทานยาต่อ โดยที่ไม่ต้องฉายแสง
DJ: การให้คีโมแต่ละครั้งมีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้างคะ?
รัตนา : มันทรมานมากเลยค่ะ ครั้งแรกเกือบถอดใจ จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดพอดี ตอนนั้นลูกๆและสามีรวมถึงญาติๆมาอวยพรวันเกิดและให้กำลังใจกันมากมาย เลยทำให้ดิฉันมีกำลังใจสู้ต่อไปค่ะ
DJ: หลังจากให้คีโมแล้ว ทานยาแล้ว คุณหมอแนะนำให้ปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างคะ?
รัตนา : คุณหมอแนะนำว่าให้รับประทานอาหารทุกๆอย่าง แต่ต้องเลือกที่จะรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์เพื่อบำรุงเม็ดเลือดขาวของเรา เพราะยาที่เราทานนั้นมันมีผลในการทำลายเม็ดเลือดขาว รวมถึงแนะนำให้ออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ ซึ่งปกติดิฉันก็เป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว และหลังจากให้คีโมประมาณ 1 อาทิตย์ ดิฉันก็ไปออกกำลังกายแล้ว แต่ก็เป็นออกกำลังแบบไม่หักโหม คือออกกำลังกายแบบเท่าที่ทำได้ ประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยๆขยับเป็น 30 นาที
DJ: อยากให้คุณรัตนา ช่วยแนะนำกับคุณผู้หญิงทุกคนหน่อยค่ะ เรื่องการดูแลสุขภาพ?
รัตนา : แนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีนะคะ และอย่ากลัวกับการตรวจแมมโมแกรม และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย เพราะถ้าเราพบความผิดปกติจะได้รีบทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว เราต้องรักตัวเองก่อนนะคะ
DJ: อยากให้ฝากกำลังใจให้กับผู้ที่เป็นโรคนี้ รวมถึงคนที่อยู่รอบๆข้างด้วยค่ะ?
รัตนา : เราควรจะต้องให้กำลังใจกับตัวเองก่อน เพราะไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเอง ส่วนคนที่อยู่รอบข้างนอกจากให้กำลังใจแล้วก็ไม่ควรห้ามเวลาที่เขาจะทำอะไร เพราะควรให้เขาได้ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ที่สำคัญคือต้องอดทนนะคะ และสมัยนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ก็ก้าวหน้ามากเพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล นอกจากนี้ก็ยังมีชมรมต่างๆที่เป็นการรวมตัวกันของผู้ป่วย เราก็สามารถไปร่วมทำประโยชน์กับชมรมเหล่านี้ได้
DJ: หลังจากรักษาตัวมา 1 ปี คุณรัตนาต้องดูแลตัวเองอย่างไรต่ออีกไหมคะ?
รัตนา : ทำตามคำแนะนำของแพทย์ทุกอย่าง และมาพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง เพื่อให้คุณหมอตรวจเช็คความผิดปกติของร่างกาย นอกจากนั้นก็ไปออกกำลังกายอาทิตย์ละประมาณ 3 ครั้งค่ะและตอนนี้ดิฉันก็แข็งแรงดีแล้วค่ะ