ความจริงแล้วโรคต้อหิน เป็นโรคความเสื่อมขั้วประสาทตาทำให้สูญเสียการมองเห็น ซึ่งผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตนเองป่วย และหลายคนมีความเชื่อผิดๆที่เกี่ยวกับโรคต้อหินดังนี้
1. ต้อหิน คือมีหินในลูกตา
ซึ่งความจริงต้อหินเกิดจากความเสื่อมของขั้วประสาทตา ส่วนใหญ่เกิดจากความดันลูกตาสูง กดทำลายเซลล์ในขั้วประสาทตาเรื่อยๆ ในช่วงแรกมักไม่มีอาการ จนลานสายตาบริเวณที่มองเห็นแคบและบอดในที่สุด ตาจะมีอาการแข็งเหมือนหินจึงเรียกว่าต้อหิน
2.ต้อหิน ต้องมีอาการปวดตา
ส่วนใหญ่ผู้เป็นต้อหินมักไม่มีอาการ จนขั้วประสาทตาถูกทำลายไปมาก ตาเริ่มมัวลง แต่หากเป็นต้อหินเฉียบพลัน จะมีอาการตาแดง ปวดตา ตามัวอย่างรวดเร็ว ต้องรีบพบแพทย์
3. การนวดรักษาต้อหินได้
ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ และยังทำให้เกิดโทษ สำหรับผู้ป่วยต้อหินระยะสุดท้ายการนวดสามารถทำให้ต้อหินแย่ลงและกระตุ้นตาให้บอดเร็วขึ้น
4.วิตามิน อาหารเสริมบำรุงสายตาช่วยรักษาต้อหิน
ปัจจุบันไม่มีอาหารเสริมรักษาต้อหินหากรับประทานอาหารเสริมที่ไม่ทราบส่วนประกอบยังอาจให้เกิดโทษได้อีก เช่นหากมีสารเสตียรอยด์ เป็นสารที่ผลต่อระบบร่างกายทุกระบบ ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง อาจจำไปสู่อันตรายต่อร่างกายได้
5.ต้อหินสามารถรักษาให้มองชัดขึ้นได้
ต้อหินเกิดจากความเสื่อมของเซลล์ขั้วประสาทตา เมื่อขั้วประสาทตาตายแล้วไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ จึงไม่สามารถทำให้มองเห็นดีขึ้นได้ มีแต่ทรงหรือทรุด แต่สามารถชะลอยั้บยั้งต้อหินด้วยการให้ยาหยอด เลเซอร์หรือผ่าตัดเพื่อลดความดันลูกตา โดยต้องทำการวินิจฉัยจากจักษุแพทย์เท่านั้น
หากใครที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีญาติหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคต้อหิน ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจลูกตาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคต้อหิน แต่เนิ่นๆ เพื่อการรักษาได้ตามอาการ หากปล่อยให้อาการมากขึ้น อาจทำให้ตาบอด เกินที่จะรักษาได้
ที่มา : ชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย