เตาไมโครเวฟใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงไมโครเวฟในการทำอาหาร แต่ปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจนในการใช้เตาไมโครเวฟจากผู้ผลิต การดูแลรักษาเพื่อให้ใช้งานได้ดี หรือวิธีป้องกันอันตรายจากคลื่นไมโครเวฟที่รั่วออกมาได้ เราจึงควรรู้สมบัติบางอย่างและข้อควรระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ
ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับแสงสว่าง โดยอยู่ในช่วงของคลื่นวิทยุความถี่สูงวัตถุที่เป็นโลหะจะสะท้อนไมโครเวฟทั้งหมดที่ตกกระทบ ส่วนวัตถุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น แก้ว หรือพลาสติก ไมโครเวฟจะเคลื่อนที่ผ่านไปได้บางส่วน วัตถุที่มีความชื้น เช่น ร่างกายคนเราหรืออาหารจะดูดกลืนพลังงานส่วนใหญ่ของไมโครเวฟไว้ได้
เตาไมโครเวฟมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า แมกนีตรอน (magnetron) ใช้ผลิตคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่ 2,450 MHz ปล่อยออกมาที่ช่องว่างภายในเตาที่มีผนังเป็นโลหะ คลื่นไมโครเวฟจะสะท้อนไปมาอยู่ภายในเตาและถูกดูดกลืนโดยอาหารหรือเครื่องดื่มที่เราใส่เข้าไป ไมโครเวฟที่ผ่านเข้าไปในอาหารหรือของเหลวจะทำให้โมเลกุลของน้ำเกิดการสั่นตามความถี่ของคลื่นไมโครเวฟ ทำให้เกิดการเสียดสีกันของโมเลกุล จึงเกิดความร้อนและทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาที่ใช้ประกอบอาหารจึงสั้นกว่าการใช้เตาแบบธรรมดา ความร้อนจะเพิ่มขึ้นเร็วหรือช้าจะขึ้นกับปริมาณความชื้น รูปร่าง ปริมาตร และมวลของอาหารที่ใส่เข้าไป
ในกรณีที่เป็นเนื้อเยื่อของร่างกายถ้าได้รับไมโครเวฟปริมาณสูงจะทำให้เกิดความร้อนทำให้เป็นอันตราย เช่น เกิดการไหม้ของเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไป แต่ยังไม่มีการยืนยันที่แน่นอนถึงผลกระทบของการได้รับไมโครเวฟว่ามีปริมาณระดับใดที่จะส่งผลให้เกิดมะเร็ง ปกติพลังงานของคลื่นไมโครเวฟจะถูกดูดกลืนโดยน้ำในอาหาร แล้วเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อนหมด จึงไม่มีคลื่นตกค้างหรือสะสมในอาหาร สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าตัวเตาไมโครเวฟเก่า มีรอยขูดขีด บุบหรือมีรอยชำรุดอาจมีคลื่นไมโครเวฟที่รั่วไหลออกมาขณะทำงานได้ หากสงสัยสามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือวัดคลื่นไมโครเวฟที่กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์