ในการประชุมครั้งนี้ รัฐบาลไทยได้ผลักดันแผนยุทธศาสตร์สำหรับอาเซียน ให้นำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนชาวไทย และผลประโยชน์ร่วมกันกับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา อย่างน้อย 6 ด้าน ดังนี้
(1) ด้านวัคซีน
โดยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ทั้งในอาเซียนและกับคู่เจรจา รวมถึงการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 เพื่อส่งเสริมให้ทุกประเทศในอาเซียน สามารถเข้าถึงและได้รับการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียม
(2) ด้านสุขภาพ
โดยจัดให้มีคลังสำรองอุปกรณ์ทางการแพทย์อาเซียน สำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข และโรคอุบัติใหม่ เพื่อทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความมั่นคงด้านสาธารณสุข และพึ่งพาตนเองได้
(3) ด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค
โดยส่งเสริมการเปิดภูมิภาค ด้วยการจัดทำระเบียงการเดินทางของอาเซียน อำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทั้งทางราชการ ทางธุรกิจ และการท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องรองรับการเปิดประเทศของไทย ในการหารายได้มาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจในทุกระดับของประเทศ
(4) ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แบบ Next Normal ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะ เพิ่มพลังงานสะอาด ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเน้นการรักษาสมดุลในทุกมิติ โดยไทยจะผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG นี้ ให้เป็นรูปธรรมในระหว่างการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ในปี 2022 นี้ด้วย
(5) ด้านการศึกษา เทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม
เพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในยุคใหม่ เช่น e-Commerce, Digital Currency, SMEs, Startup, Big Data, Tele-medicine ฯลฯ ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ที่จะก่อให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่ชาญฉลาด เมืองอัจฉริยะ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการยกระดับเพื่อปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและเชื่อมโยงกัน ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและโทรคมนาคม รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ที่ได้มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่มากมาย ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และไทยมีแผนที่จะสร้าง “ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์” ภายใต้โครงการ EEC เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสตาร์ทอัพ ของภูมิภาคด้วย
(6) ด้านความมั่นคง
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ที่ไม่เพียงจะส่งเสริมให้การแก้ปัญหาต่างๆ ร่วมกัน เป็นไปอย่างราบรื่นแล้ว แต่ยังสนับสนุนให้การพัฒนาในภูมิภาค มีความต่อเนื่องอย่างไม่สะดุด ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจและลดความหวาดระแวงระหว่างกัน รวมทั้งการรักษาความเป็นหนึ่งอันเดียวกันและส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับเสถียรภาพ ยุติความขัดแย้ง และลดการเผชิญหน้า หันมาร่วมมือกันพัฒนาเพื่อประชาชนของทุกประเทศ
"จากแผนการผลักดันนโยบายทั้ง 6 ข้อ ที่เป็นผลมาจากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และปรับเปลี่ยนให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ประเทศไทยของเรา จะสามารถเดินก้าวไปสู่ยุค Next Normal พร้อมกับอาเซียนและประเทศชั้นนำของโลก ผมเชื่อมั่นว่าผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียนในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย ในการกระชับความร่วมมือกับอาเซียนและประเทศหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ รองรับการเปิดประเทศของเราในเร็ววันนี้ ที่จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ความร่วมมือในด้านต่างๆให้กลับมาเหมือนเดิมและดียิ่งขึ้น โดยที่ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถแสดงบทบาทเป็นผู้นำได้ในทุกด้าน และใช้โอกาสหลังวิกฤตนี้ พลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทยให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอนครับ " - ถ้อยแถลงจากเพจ ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha