แม้ขณะนี้สถานการณ์ของโควิด-19 จะค่อยๆ ทุเลาลง และเตรียมที่จะปรับเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น หากแต่กระบวนการส่งเสริมสมนไพรไทยจะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอย่างเข้มข้น อย่างล่าสุดที่ได้มีการเพิ่ม "ยาจากกัญชา" เข้าสู่บัญขียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร จำนวน 8 รายการ ซึ่งประกอบด้วย ตำรับยาแผนไทย 3 รายการและยาน้ำมันกัญชาอีก 5 รายการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยในกลุ่มมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร รวมไปถึงผู้ป่วยลมชักรักษายาก
ด้วยโอกาสอันดีที่จะสร้างการตระหนักถึงความสำคัญของสมุนไพรไทยให้มากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2565 ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้จัดงาน "บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร : เข้าถึงถ้วนหน้าต่อยอดภูมิปัญญา พึ่งพาตนเอง" เพื่อตอกย้ำถึงปรัชญาในการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรที่มุ่ง "ส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรไทยในระบบบริการสุขภาพเพื่อสนับสนุนการพึ่งพาตนเอง และความมั่นคงทางยา"
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ระบุว่า การมีบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร จะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้คนไทยเข้าถึงยาสมุนไพรที่มีความจำเป็นด้านสาธารณสุขได้ ด้วยความมั่นใจมากขึ้น
นอกจากนี้บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ยังจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความต้องการ (Demand) ของการใช้ยาสมุนไพรภายในประเทศ อันเป็นวิถีของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลก เลือกที่จะทำให้เกิดการพึ่งพาตัวเองอย่างเต็มที่ แทนการผลิตเพื่อส่งออกไปเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม การที่จะผลักดันให้เกิดการส่งออกเหมือนกับการแพทย์แผนจีนหรือการแพทย์แผนอื่นๆ นั้น รมว.สธ. เชื่อว่าหากยาสมุนไพรไทยที่ผลิตออกมาทำได้ดีในแง่ธุรกิจก็อาจไม่มีความน่ากังวล เพราะมนุษย์ยังจำเป็นต้องใช้ยาในการดำรงชีวิตจึงไม่ใช่สิ่งที่จะโดน Disruption เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ
ในอีกแง่มุมหนึ่ง รศ.คร.ภญ.จิราภรณ์ ลิ้มปานานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรอธิบายว่า เมื่อปวดหัวเป็นไข้ ทุกคนมักจะนึกถึงยาพาราเชตามอลเป็นอันดับแรก ทั้งที่มียาแผนไทยที่สามารถรักษาอาการเหล่านี้ได้
ดังนั้นบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเข้าถึงการรักษาโรค และทำให้เราไม่ต้องนำเข้ายาจากต่างประเทศมากเกินไป ซึ่งขณะนี้มียาสมุนไพรจำนวน 94 รายการที่ถูกนำเข้ามาเพื่อใช้ในการรักษาแล้ว
ไทยมียาดีๆ อยู่เยอะ แต่ประชาชนไม่ค่อยให้ความนิยมในการใช้มากนัก ทำให้ที่ผ่านมาภาคธุรกิจเอกชนจึงไม่ค่อยเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอรายการยาสมุนไพรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ตามกลไกที่วางไว้เช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อยาถูกเสนอชื่อเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติและบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์การรักษาแล้ว ก็จะทำให้มีคนใช้เยอะมากขึ้น" รศ.ดร.ภญ.จิราภรณ์ฉายภาพสถานการณ์
ดังนั้นเป้าหมายใหญ่ของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรในขณะนี้ จึงต้องการประชาสัมพันธ์และส่งสารไปถึง "ภาคธุรกิจเอกชน" ให้เข้ามารับรู้ถึงความสำคัญและร่วมกันทำให้ "ยาสมุนไพรไทย" ได้รับการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอรายการยาเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร
ขั้นตอนถัดจากนี้ ประธานคณะอนุกรรมการฯ ย้ำว่านอกจากการสื่อสารไปถึงภาคเอกชนแล้วยังต้องหนุนเสริมการให้ความรู้แก่ "ประชาชน" ผ่านกิจกรรม ช่องทางต่างๆ รวมทั้งในภาคส่วนของ "บุคลากรด้านสาธารณสุข" เองที่จะเข้ามาให้ความสนใจกับยาสมุนไพรไทย อันเป็นภูมิปัญญาของประเทศ ด้วยวัตถุดิบภายในประเทศ และเสริมสร้างวงจรเศรษฐกิจของประเทศได้
คู่มือประกอบการใช้บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ.2564 (pdf) LINK
จัดทําโดย สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา พิมพ์ครั้งที่ 1 พฤษภาคม 2565
คู่มือประกอบการใช้บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนพร พ.ศ. 2564 ประกอบด้วยปรัชญา หลักการเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรในรอบปี 2564 - 2566 ขั้นตอน กลไกและกระบวนการทำงานในการคัดเลือกยาจากสมุนไพร รวมทั้งรายการบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรจำนวน 94 รายการตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติด้านสมุนไพร เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ. 2564 ซึ่งถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 และคู่มือการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ตามประกาศคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรเรื่องคู่มือการใช้ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ. 2564
การจัดทำคู่มือประกอบการใช้บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พ.ศ. 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สั่งใช้ยาในระบบบริการสาธารณสุข ได้ทราบถึงรายการยาจากสมุนไพรที่ประชาชนจะได้รับตามสิทธิที่พึงมีและวิธีการใช้ยาจากสมุนไพรที่ถูกต้อง ส่งผลให้การใช้ยาจากสมุนไพรมีความปลอดภัย และเกิดประสิทธิภาพ เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการใช้ยาจากสมุนไพร
คู่มือฉบับนี้ ได้รับความมือจากภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และที่ขาดไม่ได้คือผู้ประกอบวิชาชีพ เวชกรรม เภสัชกรรม เวชกรรมไทย แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และนักวิชาการ ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนา และต่อยอดภูมิปัญญาแผนไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้สั่งยาจะได้ประโยชน์จากคู่มือฉบับนี้ และใช้คู่มือฉบับนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการใช้ยาจากสมุนไพรต่อไป
กระทรวงสาธารณสุขเปิดงาน “บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร” 12 พฤษภาคม 2565 LINK
12 พฤษภาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร พร้อมด้วย นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมเปิดงาน “บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร” ภายใต้แนวคิด “เข้าถึงถ้วนหน้า ต่อยอด ภูมิปัญญา พึ่งพาตนเอง”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขมุ่งเน้นให้คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นด้านสาธารณสุข ไม่เพียงแต่ยาแผนปัจจุบันเท่านั้น ยังผลักดันให้มีการใช้ยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยในระบบบริการสาธารณสุข เพื่อความมั่นคงทางยาและสนับสนุนการพึ่งพาตนเอง โดยกำหนดให้มีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรครอบคลุมยาจำเป็นที่ต้องใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีรายการยาจากสมุนไพรอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ จำนวน 94 รายการ รวมไปถึงยาจากกัญชา 8 รายการ ประกอบด้วย ตำรับยาแผนไทย 3 รายการ คือ ยาแก้ลมแก้เส้น ยาศุขไสยาศน์ และยาทำลายพระสุเมรุ และ ยาน้ำมันกัญชา 5 รายการ เช่น ยาน้ำมันกัญชาที่มี CBD : THC (1:1) ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการนอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือมีอาการปวด และยาน้ำมันกัญชาที่มี CBD : THC (20:1) ในผู้ป่วยลมชักรักษายาก เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยที่เข้าถึงยาได้ นอกจากนั้น ยังมียาฟ้าทะลายโจร สำหรับผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์โควิด ส่งผลให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนให้ระบบบริการสุขภาพหันมาใช้ประโยชน์จากยาสมุนไพรนั้น นอกจากช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉินแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ป่วย ประชาชน และชุมชน ในการใช้ยาจากสมุนไพรดูแลสุขภาพ อันเป็นการพึ่งตนเองตามหลักปรัชญาวิถีชีวิตพอเพียงโดยใช้ภูมิปัญญาไทย และเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์ การเพาะปลูก และการเก็บเกี่ยวพืชสมุนไพรของชุมชน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาจากสมุนไพรไทย สร้างการหมุนเวียนเศรษฐกิจภายในประเทศอีกด้วย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 นี้ คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรจะเร่งดำเนินการพิจารณาคัดเลือกยาจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณหรือข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน มีส่วนประกอบเป็นสมุนไพรที่สามารถผลิตหรือปลูกได้ในประเทศเป็นหลัก และมีหลักประกันคุณภาพมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาจากสมุนไพรได้เพิ่มมากขึ้น และเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการใช้ยาจากสมุนไพรในระบบบริการสาธารณสุขอย่างสืบเนื่องต่อไป