24 มีนาคม 2566 ที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานร่วมเปิดกิจกรรม “สร้างภูมิให้ผู้สูงวัย ปลอดภัยด้วยภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป” เพื่อเร่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนักและเสียชีวิต โดยมีคณะผู้บริหารกรมควบคุมโรค ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ ร่วมงานในวันนี้
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้กล่าวถึงการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปว่าเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อโควิด 19 ที่มีประสิทธิภาพในกลุ่มเป้าหมายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ได้แก่ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ข้อมูลจากผลการศึกษาและจากการใช้จริงพบว่า ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงและผลข้างเคียงที่ต่ำมาก แต่เท่าที่ผ่านมากลุ่มเป้าหมายอาจจะยังไม่ทราบถึงข้อมูล ประโยชน์และความปลอดภัยของการได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป รวมถึงมีกลุ่มเป้าหมายบางส่วนที่ยังเข้าไม่ถึงบริการฉีด การจัดกิจกรรมที่สถานดูแลผู้สูงอายุบ้านบางแคในวันนี้ จึงได้ถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงข้อมูลและการรับบริการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป รวมถึงเพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินการให้บริการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเชิงรุกในสถานดูแลผู้สูง ซึ่งจะได้มีการขยายผลไปยังสถานดูแลผู้สูงอายุอื่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้บริการภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้บริการแล้วกว่า 63,000 ราย ซึ่งยังมีกลุ่มเปราะบางอีกจำนวนมากที่มีเข้าเกณฑ์การรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป และจากการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและคณะผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์เฉพาะทาง ในวันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ยังคงแนะนำให้กลุ่มเสี่ยง 607 และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปสำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ซึ่งภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปยังสามารถใช้ได้กับสายพันธุ์ BA 2.75 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยในขณะนี้ ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพดีและมีความปลอดภัยสูง ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้าเกณฑ์สามารถเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ได้ที่โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สถานพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ สถาบันบำราศนราดูร และสถานพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย