หนึ่งในปัญหามลพิษที่เป็นความกังวลในหลายประเทศขณะนี้ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนหรือPM2.5 โดยทั่วไปฝุ่นละอองPM 2.5 นั้นมีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าและมีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ ได้แก่ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและหัวใจเป็นต้น
ทั้งนี้จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า มีหลายประเทศประกาศยกเลิกรถยนต์เครื่องยนต์โดยมีผลตั้งแต่ค.ศ. 2025-2040 นั้นหมายถึงการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทดแทนการใช้รถยนต์เครื่องยนต์นั้นเอง
โดยในช่วงกลางปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2016) ประเทศนอร์เวย์(Norway) น่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ประกาศยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์เบนซินและดีเซล ซึ่งจะเริ่มห้ามจำหน่ายในปีค.ศ. 2025 ทั้งนี้ในปี ค.ศ. 2016 ที่ผ่านมา ประเทศนอร์เวย์ มีสัดส่วนการจำ หน่ายรถยนต์ไฟฟ้าประเภท PHEV & BEV สูงถึง 29% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดซึ่งถือว่า ขณะนี้เป็นประเทศที่มีสัดส่วนของการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลกจากนั้นประเทศเนเธอร์แลนด์ (Netherlands) มีการประกาศยกเลิกการใช้รถยนต์เครื่องยนต์โดยจะเริ่มบังคับในปีค.ศ. 2025 เช่นเดียวกัน
ซึ่งประเทศเนเธอร์แลนด์มีสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าประเภท PHEV & BEV เป็นอันดับสองของโลก โดยในปี ค.ศ. 2016 มีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนประมาณ 6.4% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดนอกจากนี้เมื่อเดือน ธ.ค.ของปีที่ผ่านมา (ค.ศ.2016) นายกเทศมนตรีของทั้ง 4 เมืองได้แก่ ปารีส (Paris) มาดริด (Madrid) เอเธนส์ (Athens) และเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) ได้ร่วมมือกันประกาศนโยบายห้ามไม่ให้รถยนต์ดีเซลเข้าไปในเขตเมือง ณ งานประชุมสุดยอดนายกเทศมนตรี40 เมือง (C40 Mayor Summit) โดยจะเริ่มบังคับใช้ภายในปีค.ศ. 2025
สำหรับประเทศเยอรมนีอินเดีย และสวีเดน มีการประกาศยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์ ภายในปี ค.ศ. 2030 ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรหรือประเทศอังกฤษจะมีการยกเลิกในปี ค.ศ. 2040 ทั้งนี้ประเทศกลุ่มนี้ยังมีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในสัดส่วนที่ยังน้อยกว่า 5% ของรถยนต์ใหม่ อย่างไรก็ดีในช่วงเดือนกันยายนของปีนี้ (ค.ศ. 2017) ประเทศจีนเพิ่งมีการประกาศว่าจะมีแผนการยกเลิกรถยนต์เครื่องยนต์ในไม่ช้า ซึ่งคงต้องติดตามกันว่าจะเริ่มมีผลบังคับในปีใด
ทั้งนี้คงเริ่มมีคำถามต่อว่า ประเทศไทยควรพิจารณายกเลิกการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์ในอนาคตหรือไม่ประเด็นที่สำคัญที่เราควรพิจารณาคือความรุนแรงของปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประเทศไทยยกตัวอย่างกรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5)
จากการพิจารณาข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษในการตรวจวัด PM 2.5 ตั้งแต่กรกฎาคม 2559 - มิถุนายน
2560 พบว่ามี 6 จังหวัดที่มีค่า PM2.5 อยู่ในช่วง 19-39 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มก./ลบ.ม.) และ มีค่าเฉลี่ย1 ปี เกินค่ามาตรฐานของไทยที่กำ หนดไว้ที่ 25 มก./ลบ.ม.
ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้15 และ10 มก./ลบ.ม. ตามลำดับนั้นหมายถึงว่ามีโอกาสที่ในหลายเมืองของประเทศไทยที่ค่า PM 2.5 จะมีค่าเกินมาตรฐานสากลและเราควรหาวิธีการป้องกันร่วมกันก่อนที่จะสายเกินไป
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรเริ่มตระหนักถึงปัญหาและสาเหตุของ PM2.5 ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยคำ ตอบส่วนหนึ่งของสาเหตุของPM 2.5 นั้นมาจากภาคขนส่งโดยเฉพาะมลพิษจากเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือการพิจารณายกเลิกรถยนต์เครื่องยนต์ในเมืองที่มีปัญหาเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและลดความรุนแรงของปัญหาในอนาคตของประเทศอีกด้วย
โดย ยศพงษ์ ลออนวล
นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย
คุยกับนายก EVAT
เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2560