ทันที ที่รู้ว่าพี่สาวติดโควิด ในหัวมีความคิดพุ่งพล่านหลายเรื่อง..หาเตียง รพ.?? ในภาวะที่ผู้ป่วยล้น เตียงไม่พอ, แม่จะติดมั้ย? แหม่มล่ะ, หลาน? พี่เขย? ต้องรีบให้พี่ชายพาแม่มาชะอำในคืนนั้นเลย เพื่อเช้าอีกวันจะได้ให้แม่กะแหม่มไปตรวจที่หัวหิน..ซึ่งตอนนั้นที่กท.รพ.ส่วนใหญ่ก็ไม่รับตรวจแล้ว (ค่าตรวจแบบ rt pcr คนละ 5,200 บาท) ซึ่งตอนนั้นก็อดคิดไม่ได้ ว่าทำไมคนไทย..ถึงมีความยากลำบาก ในการเข้าถึงการตรวจขนาดนี้!!!
ขณะที่ระบบสาธารณสุข กำลังจะพังทลาย..การจะหารพ.หาเตียงให้ผู้ป่วยฯ ต้องใช้ทุกช่องทาง ทุกสายสัมพันธ์ทั้งหมดที่มี..เครื่องมือที่ใช้มีแต่โทรศัพท์ ภาพขณะนั่งคุยโทรศัพท์บนโซฟาที่รู้สึกได้ว่าเรากำลังคุกเข่า..ขอความช่วยเหลือ..จนในที่สุดก็ได้เตียงให้พี่สาว..ที่รพ.เอกชน..ดีใจมากๆ ตอนนั้น..แต่ก็ต้องมาลุ้น หลานสาว กะ พี่เขย ซึ่งกว่าจะได้ที่ตรวจ..กว่าจะรู้ผล ก็อีก 3 วัน รู้ผลพี่เขยก่อน..พี่เขยติด!! ซึ่งตอนนั้น รอเตียง อยู่ที่รพ.ของรัฐ ในสภาพเหมือนโดนทิ้งให้รอแบบไร้ความหวัง..จนในที่สุดสามารถส่งไปรพ.เดียวกับที่พี่สาวอยู่ ..ตอนนั้น หมิงลูกคนโตต้องเป็นคนไปรับออกมา เพราะ ไม่อยากรอรถรพ. กลัวจะวิกฤตไปมากกว่านี้..สำเร็จในเบื้องต้นไปอีกราย
วันถัดมารู้ผลหลานสาว..โม..ติดโควิด..วันนั้นจำได้ว่า ทุกที่ที่เคยติดต่อไว้..เต็มหมดแล้ว..ที่มีโอกาสจะได้ ก็ยังไม่ยืนยันกลับ..แทบไม่เห็นแสงสว่างเลย..นั่งอยู่บน โซฟา ตัวเดิม..รู้ตัวอีกที..น้ำตาไหลไม่หยุด..คือ ความรู้สึกที่เรา..มีพร้อมทุกอย่าง..แต่เราไม่สามารถหาที่รักษาพยาบาลคนในครอบครัวได้..
และแล้วในที่สุด..ก็หาเตียงให้..หลานสาวได้..มันดีใจและอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก
จนวันพี่สาวโทรมาบอก หมอให้กลับบ้านได้แล้ว, หลานสาวและ พี่เขยก็น่าจะได้กลับตามๆ กันมา..แล้วโม ก็ได้กลับบ้าน ทุกคนที่บ้านดีใจ และรอ พี่เขย เฮียเส็ง อีกคน..ซึ่งทางรพ.ก็แจ้งว่าน่าจะกลับบ้านได้
เมื่อวานซืนตอน ตี2 กว่า โม โทรมาหากลางดึก..รู้แล้วว่า..ไม่ดีแน่..ทุกอย่างมันหักมุม และรวดเร็ว จนทุกคนตั้งสติไม่อยู่ ทุกคนไปรับพี่เขย เฮียเส็ง ที่รพ. ตอน 8 โมงเช้าเพื่อไป ฌาปนกิจตอน 10:30 น. ขณะเรานั่งฟังพระสวดที่ศาลา และไปลอยอังคารวันนี้ 13:30 น. ทุกคนเจ็บปวดแทบใจสลาย ทั้งแม่ พี่สาว ลูกๆ และทุกคนในครอบครัว
เรื่องร้ายๆ และความสูญเสียทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น หากบ้านเมืองเรามีความพร้อมที่จะป้องกันการแพร่ระบาด, กาเข้าถึงการตรวจเชื้อฯ, การจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ในเวลาอันรวดเร็ว ในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉิน ที่ประยุทธ์ รวบอำนาจ, การบริหารแบบ single command ที่ล้มเหลวในทุกมิติของ ผู้นำประเทศ
ชีวิตของประชาชนช่างดูไร้ค่า เมื่อเทียบกับผลประโยชน์มหาศาลที่รัฐฯ เอาแต่กอบโกย บนความทุกข์ร้อนแสนสาหัสของเรา คนไทย..ความไม่แยแสต่อปัญหาและความผิดพลาดของผู้บริหาร รวมถึงชนชั้นนำ และบุคคลสาธารณะของสังคม ที่มีอิทธิพลและมีเสียงที่ดังกว่าคนธรรมดาทั่วไป..กลับเลือกที่จะ เงียบ นิ่ง เฉย บนสภาวะของความสุขสบายของสถานะทางสังคม.. บ้านเมืองคงยากที่จะพัฒนา..ความสูญเสียยากต่อการควบคุม..เสียงร้องไห้ของเราคงไม่ดังพอที่ท่าน..จะได้ยิน
เป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบกับเรื่องร้ายๆ ในชีวิต..ให้ผ่านพ้นไปได้