12 พฤศจิกายน 2564 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ต่ำกว่าวันละ 1 หมื่นรายต่อเนื่องมา 2-3 สัปดาห์ ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลก มีบางทวีปเริ่มกลับมาพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราป่วยและเสียชีวิตเริ่มลดลงภายหลังมีการฉีดวัคซีนจำนวนมากกว่า 7,300 ล้านโดสทั่วโลก ส่วนประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนแล้วประมาณ 84 ล้านโดส มีผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็มจำนวน 45 ล้านคน หรือร้อยละ 62 ของประชากร ซึ่งมีทั้งคนไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศไทย และคาดว่ายังเหลือผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้รวดเร็วขึ้น โดยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส หรือประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรในทุกจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว จากเดิมที่กำหนดไว้ภายในปี 2564 หรือเร็วกว่าแผนเดิม 1 เดือน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับสังคม เนื่องจากเดือนธันวาคมจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และมีผู้คนเดินทางจำนวนมาก รวมถึงชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้นหลายเท่า
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่เสียชีวิตขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม 608 ซึ่งมีโรคร่วม โดยประมาณร้อยละ 70 ยังไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้น กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และหญิงตั้งครรภ์ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 80 เพื่อให้มีความปลอดภัย ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต โดยทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าของสถานประกอบการ บริษัทเอกชนและภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันกระตุ้นเตือน ชักชวนและนำผู้ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้มาฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลหรือจุดที่กำหนดโดยเร็ว โดยสูตรการฉีดวัคซีนในเดือนพฤศจิกายนนี้ สามารถเริ่มเข็มแรกเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และนัดฉีดเข็ม 2 เป็นไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและปลอดภัย ส่วนในเด็กอายุ 12-17 ปี ยังฉีดวัคซีน
ไฟเซอร์ 2 เข็มตามเดิม