ดร. เทโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แถลงผ่าน
วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในวันที่ 16 มีนาคม 2565 ใจความว่า
หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดลงต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ ขณะนี้ได้กลับมีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประชากรของทวีปเอเชีย ทั้งที่หลายประเทศได้ลดการตรวจทางห้องปฏิบัติการลง อันหมายถึงจำนวนผู้ติดเชื้อน่าจะสูงกว่านี้มาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยกเลิกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ละเลิกการสวมใส่หน้ากากอนามัย และไม่ฉีดวัคซีน จากนี้ไปแน่นอนว่าจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากโควิด-19 จะเพิ่มสูงขึ้นติดตามมา
การระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) ของโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด ขอย้ำ ยังไม่สิ้นสุด. ดร. เทโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส กล่าว
WHO ขอร้องให้ทุกประเทศกลับมาตั้งการ์ด ฉีดวัคซีน ตรวจ ATK, PCR และถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมเพื่อติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัส รวมทั้งเฝ้าระวังดูแลผู้ติดเชื้อและเจ็บป่วยตั้งแต่เนิ่นๆ นำมาตรการสาธารณสุขที่สมเหตุสมผล (common sense) ต่อสถานการณ์และช่วงเวลามาใช้ในการคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขและประชาชน
โรคประจำถิ่นไม่ได้หมายถึง ดี
โรคประจำถิ่น (Endemic) ในมุมมองของ WHO ไม่ได้มีความหมายในทาง “ดี” ไม่ได้หมายถึงการจบเกม (Endgame) ของโรคโควิด-19
จุลชีพที่เดิมมี “การระบาดไปทั่วโลก (Pandemic)” เช่น เชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ เชื้อไมโครแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซีส (TB) ที่ก่อให้เกิดวัณโรคปอด และเชื้อมาลาเรีย (Malaria) ที่ก่อให้เกิดโรคไข้จับสั่น ปัจจุบันได้กลายสภาพเป็น “โรคประจำถิ่น” ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็ยังสามารถทำให้มนุษย์จำนวนนับล้านคนต้องจบชีวิตลงในทุกปี เราต้องใช้เวลา 20-30 ปี และงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทในการที่จะสร้างมาตรการป้องกัน ดูแล และรักษาประชาชนทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จำกัดการระบาดของจุลชีพเหล่านี้ให้อยู่ในโหมดที่เรียกว่า "โรคประจำถิ่น (Endemic)"
WHO มองว่าการปรับเปลี่ยนจากภาวะ “การระบาดไปทั่วโลก (Pandemic)” มาเป็น “โรคประจำถิ่น (Endemic) เป็นเสมือนการเปลี่ยนการเรียกชื่อ แต่มาตรการป้องกัน ดูแล และรักษา ยังต้องรัดกุม แม้ไม่ถึงขั้นต้องปิดประเทศ งดงานเลี้ยง งานชุมนุมต่างๆ หรือใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเองให้อยู่ร่วมกับจุลชีพเหล่านี้ให้จงได้
เมื่อ 10 มีนาคม 2565 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาย้ำเตือนและขอความร่วมมือจากทุกประเทศทั่วโลกผ่าน “วิดีโอคอนเฟอเรนซ์” ในหลายเรื่อง
CMGrama/posts/4895931630514578
หนึ่งในหัวข้อสำคัญคือความหมายของคำว่าโรคประจำถิ่น (Endemic)
ทาง WHO แถลงว่า “โรคประจำถิ่น” อันหมายถึงโรคติดเชื้อที่จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจนระบบสาธารสุขของแต่ละประเทศสามารถควบคุมได้ มีการระบาดหนักบ้างเบาบ้างเกิดเป็นช่วงๆที่พอคาดการณ์ได้ เช่น ตามฤดูกาล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีการยุติการระบาดหรือต้องสามารถกำจัดตัวเชื้อก่อโรคให้สูญสลายไปจากโลก ในประวัติศาสตร์ของโลก ไวรัสที่มนุษย์สามารถปราบให้สูญสิ้นลงได้มีเพียงตัวเดียวคือ “ไวรัส Variola” ที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ ด้วยการปลูกฝีป้องกัน
หมายเหตุ
กรณีของเชื้อเอชไอวี (HIV) ที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ เดิมมีการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันได้กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) ในที่สุด ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณถึง 3 พันล้านบาทต่อปีในการป้องกัน ควบคุม และรักษา เช่น การตรวจวินิจฉัย CD4, viral load, และการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อดูว่าไวรัสดื้อต่อยาต้านไวรัสแล้วหรือไม่ และสามารถปรับเปลี่ยนยาหากเชื้อดื้อยาได้ทันท่วงที รวมทั้งมีการจัดหายาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ มีการผลิตยาต้านไวรัสเอชไอวีบางประเภทขึ้นใช้ในประเทศโดยองค์การเภสัชกรรม และเราได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เช่น ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับกลุ่มเสี่ยง หรือหากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยกับกลุ่มเสี่ยงหรือเกิดอุบัติเหตุสัมผัสเลือดผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็รีบไปรับยาต้านไวรัสมารับประทานในทันที มีการตรวจกรองเลือดบริจาคให้ปราศจากเชื้อจุลชีพต่างๆรวมทั้งเอชไอวีก่อนให้กับผู้ป่วยที่ต้องการเลือด เป็นต้น
ดังนั้นในกรณีของไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทางภาครัฐจะปรับให้เป็นโรคประจำถิ่นเร็วๆนี้นั้นคาดว่าคงเพราะจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนน้อยกว่า 1 คนในจำนวนประชากร 1 ล้านคน เพื่อสามารถขยับขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพจิต รวมถึงการรักษาอาการที่ตามมาหลังหายป่วยจากโควิด-19 หรือ “ลองโควิด (Long COVID)” ให้ประเทศเราสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยคาดว่าประชาชนคนไทยคงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างเพื่ออยู่ร่วมกับไวรัสโคโรนา 2019 ตัวนี้ให้ได้
Center for Medical Genomics