โรคลำไส้แปรปรวน ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง แต่เป็นโรคที่สร้างความรำคาญใจต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งมักจะมีอาการคล้ายกับอาการท้องเสีย ท้องผูก ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับอาการท้องเสีย และท้องผูกกันก่อน
อาการท้องเสีย มักจะมีอาการถ่ายเหลว หรืออุจจาระเป็นน้ำ หรืออาจมีมูกเลือดปน เมื่อมีอาการท้องเสีย ควรดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยอาการขาดน้ำ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารที่ไม่สุก และพักผ่อนให้เพียงพอ
ส่วนอาการท้องผูกนั้น คือ อาการถ่ายอุจจาระยาก ถ่ายแข็ง ต้องออกแรงเบ่งมาก ๆ หรือนาน ๆ
โดยสาเหตุที่สำคัญคือ การดื่มน้ำน้อย หรือการกินอาหารที่มีกากใยน้อย การป้องกันอาการท้องผูก คือ ควรกินอาหารที่มีกากใยให้มาก ๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาการท้องผูก หรือท้องเสีย จะไม่ใช่อาการเรื้อรัง มักจะมีอาการไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่หากเป็นลำไส้แปรปรวนมักจะเป็นเรื้อรัง และมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
สาเหตุของลำไส้แปรปรวนยังไม่แน่ชัด แต่อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของแบคทีเรียหรือปริมาณแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการลำไส้แปรปรวนได้
อาการเด่นของโรค คือ “ปวดท้อง” ร่วมกับการมีอาการขับถ่ายที่ผิดปกติ เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย หรืออย่างใดอย่างหนึ่งสลับกัน โดยอาการปวดท้องมักจะดีขึ้นเมื่อได้ขับถ่าย และมักจะมีอาการเรื้อรังนานเกิน
6 เดือน
การรักษาโรคลำไส้แปรปรวน
- รักษาโดยการปรับพฤติกรรม และใช้ยารักษาตามอาการที่เป็น เช่น หากมีอาการท้องเสีย ก็กินยาแก้ท้องเสีย แต่หากมีอาการท้องผูก ก็กินยาแก้ท้องผูกโดยต้องปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
- หลีกเลี่ยงความเครียด
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ