เกาะติดเปิดประเทศสัปดาห์แรก “นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” ระดมทุกหน่วยร่วม แก้คอขวดบริการสุวรรณภูมิ เปเลี่ยน COE เป็น THAILAND PASS ลั่นเคลียร์ผู้โดยสารฉลุย เฉพาะ พ.ย.64 เดือนเดียว แอร์ไลน์ใทยและทั่วโลกทยอยบินแล้วกว่า 12,000 ไฟลต์ คาด ธ.ค.นี้คึกคัก เตรียมแผนรับมือผู้โดยสารเฮใช้สุวรรณภูมิช่วงปีใหม่หนาแน่น มั่นใจรับมือได้จากประสบการณ์เคยดูแลวันละถึง 2 แสนคน
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวในสุวรรณภูมิได้ซักซ้อมแผนปฏิบัติการ เตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นมา ทันทีที่เที่ยวแรกจากญี่ปุ่นลงสู่สนามบินเวลาประมาณเที่ยงคืนผ่านไปได้ด้วยดี ต่อเนื่องช่วงสายวันที่ 2 พฤศจิกายน มีเที่ยวบินจากยุโรปเข้ามาเริ่มมีกระแสในโซเชียลถึงขั้นตอนการใช้เวลาตรวจเอกสารของสนามบินค่อนข้างนาน
ต้องขออธิบายในช่วงสัปดาห์แรกการเปิดประเทศตั้งแต่ 1-7 พฤศจิกายน 2564 ระบบ “THAILAND PASS” ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยใช้ระบบอัตโนมัติออกเอกสารเดินทางเข้าประเทศให้แก่นักท่องเที่ยวแต่ละประเทศ และจะใช้แทนเอกสาร COE :Cirtificate of Entry ซึ่งยังต้องใช้การเขียนหรือตรวจสอบด้วยคน (manual) นั้น ยังไม่สามารถใช้งานไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์
เนื่องจากผู้โดยสารต่างประเทศได้ยื่นขอไปก่อนหน้าที่จะมีประกาศฉบับใหม่ให้ใช้ THAILAND PASS ดังนั้นจึงได้เป็น COE มาแล้วในบันทึกจึงได้ระบุเอกสารของนักท่องเที่ยวคนนั้นๆ ตามแบบเก่าใน COE คือเมื่อมาถึงประเทศไทยจะต้อง “ต้องกักตัว 7 วัน” แต่ระบบใหม่ THAILAND PASS ไม่ต้องกักตัวอีกต่อไป เพียงแต่จะต้องจองห้องพักโรงแรมสำรองไว้ 1 คืน เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อด้วยระบบ RT-PCR
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จึงต้องนำเอกสารยื่นให้ “เจ้าหน้าที่คัดกรองโรค” ในสุวรรณภูมิแก้ไขข้อมูลใหม่ จากต้องอยู่ในไทย 7 วัน เป็น 1 วัน ตามเงื่อนไขใหม่ในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ดังนั้นขอยืนยันว่าหากผู้โดยสารจากต้นทางเปลี่ยนมาใช้เอกสารแบบใหม่ THAILAND PASS ทุกคนก็จะสามารถผ่านจุดตรวจในสุวรรณภูมิโดยใช้เวลาเพียง “คนละ 17 วินาที” เท่านั้น เพราะใช้วิธีสแกน “QR CODE” เพราะข้อมูลทุกอย่างจะอยู่ใน THAILAND PASS ทั้งข้อมูลรายละเอียดส่วนตัว ประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเอกสารอื่น ๆ ตามการเดินทางวิถีใหม่จะบันทึกไว้ในนี้ทั้งหมด
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า ทอท.และทุกหน่วยงานในสุวรรณภูมิได้พยายามร่วมมือกันแก้ไขทุกปัญหาให้ผ่านไปได้อย่างมีมาตรฐาน แม้กระทั่งเรื่อง “รถสาธารณะ” จากสนามบินไปยังปลายทางต่าง ๆ วันแรก การบริหารจัดการโครงการใหญ่ขนาดนี้ก็ยอมรับว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกันบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกฝ่ายไม่ได้เตรียมการณ์ โดย ทอท.ได้ประชุมทันทีเมื่อเกิดปัญหาเพื่อทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี
ส่วน “คอขวดปัญหาบริการผู้โดยสารในสุวรรณภูมิ” ที่ต้องเร่งแก้ไขเพิ่มเติมที่พบเห็นปัญหาจริง ๆ คือ บริเวณพื้นที่ “จุดคัดกรอง” ด่านควบคุมโรคที่จะต้องตรวจข้อมูลผู้โดยสาร/นักเดินทางเข้าสู่ประเทศ แตกต่างจากสถานการณ์ปกติเมื่อลงจากเครื่องบินสามารถเดินตรงไปยัง “เคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง” เคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง แล้วไปรอรับสัมภาระตรงสายพานกระเป๋า เมื่อรับเสร็จก็ไปผ่านด่านศุลกากร แล้วออกสู่ภายนอกได้ตามปกติ
แต่พอเกิดโควิด-19 ระบาด จึงต้องเพิ่มขั้นตอนการเข้าประเทศไทย คือ ทุกคนจะต้อง “ผ่านจุดคัดกรอง” แสดงเอกสาร THAILAND PASS ผมคิดว่าปัญหาคอขวดดังกล่าวจะหายไป เมื่อระบบ THAILAND PASS ใช้งานได้ 100 % น่าจะเป็นตั้งแต่สัปดาห์หรือประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป การตรวจเอกสารที่ล่าช้าจะหายไป เพราะสามารถสแกน QR CODE ได้อย่างรวดเร็วภายใน 17 วินาที/คน เท่านั้น
ตัวอย่างที่ยังมีปัญหาติดขัดอยู่บ้าง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ผมไปยืนสังเกตุการณ์ก็เห็นมีปัญหาอยู่บ้าง เรื่องปริมาณจราจรเข้าสนามบินมารับผู้โดยสาร เพราะโรงเรียนเริ่มเปิดเทอมทำให้รถมารับผู้โดยสารไม่ทันตามเวลา จึงได้เชิญโรงแรมที่ลงทะเบียนอยู่เป็นห้องพักทางเลือกกักตัว AQ :Alternative Quarantine หรือ SHA Plus มาหารือโดยขอให้ไปจัดการบริหารเวลากันใหม่ คนขับรถจะต้องปรับให้เร็วขึ้นแล้วมาลงทะเบียนรออย่ามากระชั้นใกล้เวลานัดรับผู้โดยสาร ซึ่งจะทำให้เกิดผู้โดยสารรอแล้วสะสมอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมาก ในวันดังกล่าว
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ “ตารางบินฤดูหนาวปี 2564/2565” ได้สอบถามไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แจ้งว่าทางสายการบินนานาชาติเริ่มทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตอบรับการเปิดประเทศ แต่แนวโน้มจะเห็นความชัดเจนอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า หรือตั้งแต่ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ตามประมาณการณ์จะมีเที่ยวบินมายังสนามบินสุวรรณภูมิ เฉพาะพฤศจิกายน 2564 เดือนเดียว รวมทั้งสิ้นประมาณ 12,000 เที่ยว แบ่งเป็น 1.เที่ยวบินระหว่างประเทศ ประมาณ 6,500 เที่ยว 2.เที่ยวบินภายในประเทศ อีกเกือบ 6,000 เที่ยว
ขณะที่ “ผู้โดยสารผ่านเข้า-ออก” วันแรก 1 พ.ย.2564 มีชาวต่างชาติประมาณกว่า 1,000 คน เช่นเดียวกับวันที่ 2 พ.ย.อีกประมาณ 1,165 คน และคนไทยอีกกว่า 700 คน วันที่ 3 พ.ย.มีต่างชาติประมาณ 2,273 คน คนไทยเกือบ 1,000 คน ยอดผู้โดยสารจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ตามรายงานข้อมูลที่ได้รับวันต่อวัน
เพราะสัญญาณบวกดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าพอเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 2564 จะมีเที่ยวบินจำนวนมากเข้ามาทันทีเหมือนก่อนโควิด-19 แต่ทุกอย่างจะเป็นทีละขั้น Step by step ผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวจะต้องเตรียมตัว ซื้อตั๋วโดยสาร จองห้องพักโรงแรมที่ได้ตราสัญลักษณ์ SHA ตามพื้นที่ท่องเที่ยว
“ประเทศ” ที่เดินทางเข้ามามากเป็นอันดับต้น ๆ คือ “ยุโรป” ดูจากเที่ยวบินของ “การบินไทย” จะมีชาวยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน กับมีเที่ยวบินของแต่ละชาติก็หลายสายการบิน ส่วน “เอเชีย” จะมาทางสิงคโปร์ ซึ่งมีเที่ยวบินแวะพักที่ “ออสเตรเลีย” มาเปลี่ยนเครื่องสิงคโปร์เข้ากรุงเทพฯ
สำหรับ “คำถาม” ตอนนี้ที่เป็นประเด็นค่อนข้างมากที่สุดกรณี ทำไมจะต้องจองโรงแรม 1 คืน ก่อนจะประกาศใช้มาตรการนี้ต้อนรับการเปิดประเทศทุกฝ่ายได้หารือกันจนตกผลึกแล้ว เพื่อให้ “ผู้โดยสาร/นักท่องเที่ยว” ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เปลี่ยนจุดตรวจหาเชื้อด้วยระบบ RT-PCR จากภายในสนามบินนานาชาติ ไปตรวจยังโรงแรมที่พักแทน
เพราะพื้นที่ภายในสนามบินจะใช้จุดไหนเป็น “จุดตรวจหาเชื้อ” หากอนาคตมีคนเดินทางจำนวนมาก หลายพันคนในแต่ละวัน จะต้องมีทั้ง “จุดตรวจ” กับ “จุดรอผล” อันจะเกิดความโกลาหลขึ้นในสนามบินได้ วิธีการใหม่ให้ไปตรวจยังโรงแรมที่พักจะสะดวก ปัจจุบันทางโรงแรมได้จับคู่กับโรงพยาบาลอำนวยความสะดวกได้ทันที กรณีพบนักท่องเที่ยวที่จองพักโรงแรมนั้น ๆ พบผลการตรวจหาเชื้อเป็นบวกไม่ต้องตกใจ จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลพันธมิตรมาดูแลทันที ถือเป็นข้อตกลงที่โรงแรมกับโรงพยาบาลทำกันไว้
รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่ในส่วนลานจอดเครื่องบิน สุวรรณภูมิทยอยเปิดเต็มประสิทธิภาพการใช้งาน ตั้งแต่
1.หลุมจอดเครื่องบินทั้งหมด 120 หลุมจอด
2.ประตูเชื่อมเครื่องบินกับอาคารผู้โดยสาร
3.ห้องน้ำทั้งหมดได้ใช้ช่วงเวลาปิดสนามบินช่วงโควิดรุนแรงปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยทันเปิดประเทศพอดี
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวถึงประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ “การเปิดบริการร้านค้าต่าง ๆ” ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายของ ร้านขายสินค้าดิวตี้ฟรี ซึ่งเป็นบริการผู้โดยสารเดินทาง “ขาออกประเทศ” ผู้ประกอบการทั้งหมดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ปิดทั้งหมด แต่ตอนนี้ภาพเก่าสนามบินสุวรรณภูมิเริ่มกลับมาสู่ปกติ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดได้ทั้งหมดครบ 100 %
เปิดตามขั้นตอน เปิดก่อนคือ “ร้านอาหาร” กำลังเริ่มกลับมาทั้งปรับปรุง รับพนักงานกลับเข้าทำงาน ใกล้ ๆ ปีใหม่ ก็น่าจะทำได้เกือบ 100 %
ต่อเนื่องไปถึงการวางแผน “รับมือการเดินทางของผู้โดยสาร” ทั้งต่างชาติและคนไทยในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เดือนธันวาคมนี้ ตามปกติสุวรรณภูมิเคยให้บริการผู้โดยสารด้วยขีดความสามารถรองรับได้ถึงวันละเกือบ 200,000 คน ต่างจากตอนนี้มีวันละหลักไม่กี่พันคน จึงให้ความเชื่อมั่นได้เลยว่าการเตรียมความพร้อมไว้สามารถให้บริการได้มีประสิทธิภาพเพียงพออย่างแน่นอน
ผอ.กิตติพงศ์ ย้ำว่า ขอให้ทุกคนใช้สนามบินอย่างสบายใจ เนื่องจาก
1.บุคลากรในสนามบินสุวรรณภูมิที่ทำงานอยู่ด่านหน้ารับผู้โดยสารเข้าออก ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม เกือบ 80 % ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่รอวัคซีนทางเลือกอีกประมาณ 20 % จึงมั่นใจในความปลอดภัยได้
2.สิ่งอำนวยความสะดวกอุปกรณ์เครื่องใช้ของผู้โดยสารได้ทำความสะอาดตลอดเวลา เพิ่มความถี่ให้แม่บ้านใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น ลิฟท์ รถเข็น บันไดเลื่อน และอื่น ๆ
ผมในฐานะผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิที่กำกับดูแลการทำงานต้อนรับผู้โดยสารทั้งต่างชาติและคนไทย ขอยืนยันว่าได้ทำงานร่วมกับทุกหน่วยราชการทั้ง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร พร้อมให้บริการทุกคนจะได้รับความสะดวก ปลอดภัย ประทับใจ เมื่อผ่านเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิ
รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” 6 พฤศจิกายน 2564 ดำเนินรายการโดย “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.
ฟังทาง
facebookLiveFM97.0