คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบ 4 ประเด็นควบคุมโรคโควิด 19 การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยภายใต้มาตรการควบคุมโรคแนวใหม่, เตรียมเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านภาวะวิกฤต เพื่อให้จำนวนผู้ป่วยหนักไม่เกินศักยภาพระบบสาธารณสุขรองรับ, Bubble and seal ในโรงงาน/ สถานประกอบกิจการ, ร่างกฎกระทรวง 2 ฉบับ แนวทางปฏิบัติพาหนะจากต่างประเทศที่จะเข้ามาประเทศไทยทางบก/ เรือ/ อากาศ พร้อมสนับสนุนให้มีผู้แทนสมัชชาสุขภาพจังหวัดร่วมประชุมในคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
วันนี้ (23 สิงหาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2564 โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลาโหม มหาดไทย แรงงาน ศึกษาธิการ การต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ UHOSNET โรงพยาบาลเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และสาธารณสุข ผู้แทนสภาวิชาชีพและองค์กรอิสระ ร่วมการประชุมและประชุมผ่านระบบออนไลน์
4 สัปดาห์แนวโน้มดีขึ้น
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของไทยในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา แนวโน้มดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อคงตัว วันนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่ 17,491 ราย รักษาหาย 22,134 ราย เป็นผลจากมาตรการต่างๆ เช่น การล็อคดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม การตรวจค้นหาเชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK และนำเข้าระบบการรักษาที่บ้าน/ ชุมชน การเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงให้ครอบคลุม ตั้งแต่เดือนนี้มีวัคซีนเข้ามาเพิ่มทั้งไฟเซอร์ แอสตร้าเซนเนก้า และซิโนแวค ส่งไปทั่วประเทศ ขณะนี้ ฉีดวัคซีนไปแล้ว 27 ล้านโดส ผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มคิดเป็นร้อยละ 28
4 ประเด็นควบคุมโควิด
โดยวันนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้หารือ 4 ประเด็นสำคัญในการควบคุมโรคโควิด 19 คือ
1. การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยภายใต้มาตรการควบคุมโรคแนวใหม่ (Smart Control and Living with Covid-19) เตรียมเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านภาวะวิกฤต มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ให้จำนวนผู้ป่วยหนักไม่เกินศักยภาพระบบสาธารณสุขรองรับได้ ใช้กลยุทธ์ ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงเจ็บป่วยรุนแรง รวมถึงการพัฒนาวัคซีนใหม่อย่างครบวงจร มาตรการ DMHTT และ Universal Prevention เพิ่มการทำงานเชิงรุกด้วยหน่วยเยี่ยมบ้านเคลื่อนที่ (CCRT) ใน กทม. ปริมณฑล และพื้นที่ระบาด ให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจโควิดด้วยตัวเอง และคัดกรองด้วย Antigen Test Kit
2. เห็นชอบหลักการมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and seal) สำหรับสถานประกอบกิจการ ในพื้นที่ที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ใช้แนวคิดกลุ่มคนที่แข็งแรงและอยู่เป็นกลุ่มในพื้นที่จำกัด ไม่ปะปนกับบุคคลภายนอก ใช้การสุ่มตรวจเพื่อประเมินสถานการณ์ ถ้าพบการติดเชื้อเกิน ร้อยละ 10 แยกไปรักษาที่รพ.สนาม และเฝ้าระวังคนที่เหลือให้สามารถทำงานต่อไปได้ เมื่อครบ 28 วัน ตรวจภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ตรวจพบภูมิคุ้มกันจะสามารถทำงานต่อไป กลับบ้านได้ ผลดีคือ ไม่ต้องปิดโรงงาน แรงงานได้ค่าจ้าง เศรษฐกิจไปต่อได้ โดยมีกลไกด้านการสื่อสารทำความเข้าใจ ให้คำแนะนำและระบบพี่เลี้ยง ด้านกำกับประเมินผล ซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
3. เห็นชอบร่างกฎกระทรวง เรื่อง การแจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ที่พาหนะจะเข้ามาถึงด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง เรื่อง การยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ พ.ศ. ....เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับพาหนะ จากต่างประเทศที่จะเข้ามาประเทศไทยทั้งในด่านบก เรือ และอากาศ
4. สนับสนุนให้มีผู้แทนของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร่วมประชุมในคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 เพื่อให้มีตัวแทนประชาชนในพื้นที่ร่วมรับรู้และร่วมดำเนินมาตรการควบคุมโรคภายในจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ยังได้รับทราบมติคณะกรรมการด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่เห็นชอบให้ผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีน Sputnik V เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ได้