การฟื้นฟูปอดหลังหายจากโควิด
นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล
นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์
15 กันยายน 2564
ภายใต้สถานการณ์ที่การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นที่ประชาชนไทย จะต้องดูแลตัวเองให้ห่างไกลโควิด และหากพลาดพลั้งเกิดโรคขึ้นมา เราจะดูแลปอดของตัวเองอย่างไรเมื่อหายดีแล้ว
การเตรียมความพร้อมของปอด
เป้าหมายคือ ลดโอกาสการเกิดโรคโควิด-19 และรักษาปอดไว้ให้แข็งแรงเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนหากเกิดปอดอักเสบโควิด โดย
1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ขณะออกกำลังกายจะทำให้ปริมาตรอากาศไหลเข้าออกปอดในหนึ่งนาทีเพิ่มขึ้นนับเป็นสิบเท่า ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจมีความแข็งแรง และถุงลมในส่วนต่างๆ ของปอดถูกนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซเต็มที่ เมื่อเกิดปอดอักเสบเราจะทนทานต่อการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ผิดปกติได้นานขึ้น กล้ามเนื้อใช้หายใจที่แข็งแรงจะช่วยให้การไอขับเสมหะออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย
2. พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมระบบการป้องกันสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะเชื้อโรคที่ผ่านลงไปในหลอดลมและถุงลมปอด
3. หลีกเลี่ยงมลภาวะทางอากาศ ที่สำคัญคือควันบุหรี่ธรรมดาและบุหรี่ไฟฟ้า ฝุ่นโดยเฉพาะ PM2.5 และก๊าซที่มีฤทธิ์ระคายเคือง เนื่องจากจะทำให้เยื่อบุผิวของหลอดลมและถุงลมปอดถูกทำลาย ส่งผลต่อการที่เชื้อโรคจะทะลุทะลวงรุกล้ำเข้าไปในเนื้อเยื่อชั้นลึกได้ง่ายขึ้น
การดูแลรักษาปอดภายหลังหายจากโควิด
เชื้อไวรัสซาร์โควี-2 ทำให้ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเกิดปอดอักเสบ แต่ราว 50% จะเกิดปอดอักเสบที่ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ มีผู้ป่วยราว 10-15% ที่แพทย์ต้องให้การรักษาด้วยออกซิเจนเสริม และมีราว 5% ที่ปอดอักเสบรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤตจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยเครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทั้งหมดนี้จะมีผู้เสียชีวิตโดยรวมประมาณ 1% ซึ่งกลุ่มคนซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิต ที่สำคัญคือ ผู้สูงอายุ มีโรคอ้วน เป็นเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีหรือไม่เคยรู้มาก่อน มีโรคไตเรื้อรังขั้นรุนแรงโดยเฉพาะรายที่ต้องบำบัดทดแทนไต (ฟอกไต) และ ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิดหรือฉีดแต่ยังไม่ครบหรือไม่นานพอ
กลุ่มผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากปอดอักเสบรุนแรง 3 กลุ่ม
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากปอดอักเสบรุนแรง (ที่พบประมาณ 5% ของผู้ป่วยโควิด-19 ดังที่กล่าวมาแล้ว) สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก พบเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 80%
ของผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยรวม แพทย์มักสามารถหยุดใช้ออกซิเจนได้ในระหว่างอยู่โรงพยาบาลช่วงหลังป่วยไม่เกิน 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อยเล็กน้อยหลังมีกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินเข้าห้องน้ำ แต่หลังพักสักครู่ก็กลับเป็นปกติ และวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้วได้ไม่ต่ำกว่า 92% เอกซเรย์ปอดของผู้ป่วยจะค่อยๆ กลับเป็นปกติภายใน 6 สัปดาห์ หรืออาจหลงเหลือแผลเป็นเล็กน้อยได้
กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องทำการฟื้นฟูปอดเป็นพิเศษ ให้กลับไปใช้มาตรการการเตรียมความพร้อมของปอดตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
กลุ่มที่สอง พบรองลงมาราว 15-20%
แพทย์สามารถค่อยๆ หยุดใช้ออกซิเจนได้ในระหว่างอยู่โรงพยาบาลหรือภายใน 6 สัปดาห์หลังออกจากโรงพยาบาล โดยมีผู้ป่วยส่วนหนึ่งยังมีลักษณะทางเอกซเรย์เข้าได้กับปอดอักเสบหลังจากโควิด (เชื้อหมดไปแล้วแต่ยังเหลือการอักเสบอยู่) ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านการอักเสบส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสเตียรอยด์ชนิดกิน โดยจะค่อยๆ ลดขนาดยาลงจนหยุดได้เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนและเริ่มทำกิจวัตรประจำวันได้โดยไม่หอบเหนื่อยเหมือนในผู้ป่วยกลุ่มแรก
กลุ่มนี้ต้องอาศัยการทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูปอดและร่างกายส่วนอื่นไปอย่างน้อยจนกว่าจะสามารถหยุดใช้ออกซิเจน แล้วจึงกลับไปสู่มาตรการการเตรียมความพร้อมของปอด ในระหว่างนี้ต้องดูแลด้านโภชนาการ ด้านสภาพจิตใจ และด้านโรคประจำตัวอื่นถ้ามี ให้เหมาะสมควบคู่กันไปด้วย
กลุ่มสุดท้าย พบได้ไม่เกิน 1-2%
แพทย์ไม่สามารถให้หยุดใช้ออกซิเจนได้เป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์หลังจากป่วย โดยมีบางรายที่หายใจด้วยตัวเองตามปกติไม่ได้และต้องทำการเจาะคอไว้เพื่อช่วยในการหายใจ มีน้อยรายต้องอยู่โรงพยาบาลนานเพราะไม่สามารถหยุดใช้เครื่องช่วยหายใจได้ หรือถ้ามีความพร้อมแพทย์จึงให้กลับไปใช้เครื่องช่วยหายใจต่อเนื่องที่บ้าน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เป็นภาระต่อครอบครัวและญาติรวมถึงระบบสุขภาพอย่างมาก ในบางรายแพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านการเกิดพังผืดในปอดหรือเสนอให้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนปอดเมื่อมีข้อบ่งชี้และมีความพร้อม การทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูปอดเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและนักกายภาพบำบัด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยประสบความสำเร็จในการกลับมาหายใจได้ดีด้วยตัวเองบางส่วนหรือเกือบทั้งหมด