ซุปโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) อาจก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ (new wave) ในแต่ละภูมิภาคด้วยสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกัน
วลีเด่นช่วงนี้คือ "ซุปโอไมครอน" เรียกขานโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโควิด-19 ทั่วโลกบ่งชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายตามธรรมชาติของการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ที่เปลี่ยนไปในยุคของโอไมครอน
การดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 จากผู้ติดเชื้อทั่วโลก ซึ่งถูกจัดเก็บในฐานข้อมูลโควิดโลก “GISAID”ตลอด 3 ปี จำนวนกว่า 13.7 ล้านตัวอย่าง (ณ. วันที่ 1 พ.ย. 2565) ได้ถูกนำมาประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงสร้างเป็นต้นไม้แห่งการวิวัฒนาการ (phylogenetic tree) เพื่อดูความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่างตระกูลของโคโรนา 2019 (-2022) พบว่าในช่วง 2 ปีแรกตระกูลใหญ่ของโคโรนาไวรัสซึ่งมีรหัสพันธุกรรมแตกต่างกันอย่างมากได้เกิดขึ้นและถูกแทนที่ด้วยตระกูลใหญ่ถัดไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตระกูลไวรัสอู่ฮั่น ได้ถูกแทนที่ด้วยตระกูล อัลฟา, เบตา, แกมมา, เดลตา และ โอไมครอน ตามลำดับ และเนื่องจากส่วนหนามแหลมของแต่ละตระกูลมีการกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันอย่างมากทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราพัฒนาตามไม่ทัน เข้าไปจับทำลายไวรัสไม่ได้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อเจ็บป่วย รุนแรง และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของตระกูลเดลตา
แต่เมื่อการระบาดย่างเข้าสู่ช่วงปีที่ 3 ในยุคของตระกูลโอไมครอนกลับมีวิวัฒนาการเกิดเป็นสายพันธุ์ย่อยมากกว่า 300 สายพันธุ์ (omicron subvariants) พร้อมกัน โดยแต่ละสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มากกว่า 100 ตำแหน่ง โดยเฉพาะส่วนหนามที่อยู่ส่วนเปลือกนอกห่อหุ้มอนุภาคไวรัสไว้
ส่วนหนามมีบทบาทสำคัญในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและจากภูมิคุ้มกันที่เราได้รับจากการติดเชื้อโควิด-19 ตามธรรมชาติ รวมทั้งจับกับผิวเซลล์ของผู้ติดเชื้ออย่างจำเพาะ และเป็นที่น่าสนใจมากว่าส่วนหนามของโอไมครอนแต่ละสายพันธุ์ย่อยมีทั้งที่ซ้ำกับสายพันธุ์โอไมครอนดั้งเดิมประหนึ่งเป็นการรีไซเคิล (recycle) นำตำแหน่งการกลายพันธุ์ดั้งเดิมที่ใช้ได้ผล (ในการหลบเลี่ยงภูมิ หรือจับกับผิวเซลล์) กลับมาใช้ใหม่ผสมผสานกับการกลายพันธุ์ตำแหน่งใหม่ซึ่งจำเป็นใช้แข่งขันกันเองเพื่อการอยู่รอดในหมู่ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย
สรุปได้ว่าการระบาดของโอไมครอนมีความหลากหลายในรูปแบบของการหมุนเวียนอยู่ในประชากรของโลก ซึ่งทำให้คาดเดาแนวโน้มการระบาดในอนาคตได้ยากขึ้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจึงได้เปรียบการระบาดของโควิดในช่วงปีที่ 3 เสมือน ซุปโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) อันประกอบด้วยหลายหลายของสายพันธุ์ย่อยเหมือนส่วนประกอบมากมายในน้ำซุป เช่น BA.2.75, BA.2.75.2,BQ.1, BQ.1.1, BF.7, XBB, XBB.1,XBB.2, XBB.3,XBB.4, และ XBB.5 มีแข่งขันกันแพร่ระบาดเพื่อความอยู่รอด
และเนื่องจากแต่ละสายพันธุ์ย่อยมีการรีไซเคิลตำแหน่งการกลายพันธุ์ของโอไมครอนดั้งเดิม เช่นในตำแหน่ง “R346, L452, K444, F486, N460” มาใช้ร่วมด้วย อันอาจเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรารู้จักคุ้นตำแหน่งกลายพันธุ์เหล่านี้มาก่อนล่วงหน้า สังเกตได้ว่าการติดเชื้อเจ็บป่วยจากโอไมครอนสายพันธุ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น BA.1,BA.2,BA.4,BA.5 และล่าสุด BQ.1 และ XBB จึงมีอาการที่ไม่แตกต่างกัน คือไม่รุนแรงต้องรักษาตัวใน รพ. รวมทั้งมีจำนวนผู้เสียชีวิตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลตา
ในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวปลายปีนี้และต้นปีหน้า 2565 คาดว่าแต่ละภูมิภาคทั่วโลกจะมีการติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกัน เช่นในทวีปยุโรปและอเมริกามีการติดเชื้อโอไมครอน BQ.1 และ BQ.1.1 ในขณะที่ทวีปเอเชีย โดยเฉพาะ อินเดีย บังกลาเทศ มาเลเซีย และสิงคโปร์ พบการระบาดของ XBB,XBB.1-XBB.5 ในขณะที่ทวีปออสเตรเลียพบการระบาดผสมผสานระหว่าง BQ.1* และ XBB*
สำหรับประเทศไทยยังคงพบโอไมครอนสาย BA.5* ถึงร้อยละ 97.83%
ส่วนสายพันธุ์ย่อย
BA.4.6 จำนวน 2 ราย
BQ.1.1 ไม่พบ
BQ.1 จำนวน 1 ราย
BF.7 จำนวน 2 ราย
BA.2.75 จำนวน 24 ราย
BA.2.75.2 จำนวน 6 ราย
XBB ไม่พบ
ปล. ข้อมูลจาก
GISAID วันที่ 1/11/2565
ช่วงหน้าหนาวในประเทศไทยซึ่งคาดกันว่าจะยาวนานจะมีส่วนทำให้อนุภาคไวรัสคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นอันอาจส่งเสริมให้มีการระบาดระลอกใหม่หรือไม่และเป็นโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยใดนั้นยังตอบไม่ได้ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศรวมทั้งศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี กำลังเฝ้าติดตามโดยการถอดรหัสพันธุกรรม (sequencing) ทั้งจีโนมหรือบางส่วน (genotyping) ซึ่งขณะนี้จำนวนการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมในประเทศไทยลดลงอย่างมากเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ส่งมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา รพ. รามาธิบดี ช่วงนี้ลดเหลือเพียง 4-12 ตัวอย่างต่อวัน และตรวจพบ PCR เป็นบวกประมาณวันละรายเดียวเท่านั้น
หมายเหตุ BQ.1* = BQ.1,BQ.1.1, ฯลฯ
XBB* = XBB,XBB.1,XBB.2,XBB.3,XBB.4,XBB.5 ฯลฯ
ข้อมูลและภาพจาก Center for Medical Genomics
1 พฤศจิกายน 2565
ในช่วง 2 ปีแรกตระกูลใหญ่ของโคโรนาไวรัสซึ่งมีรหัสพันธุกรรมแตกต่างกันอย่างมากได้เกิดขึ้นและถูกแทนที่ด้วยตระกูลใหญ่ถัดไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ตระกูลไวรัสอู่ฮั่น ได้ถูกแทนที่ด้วยตระกูล อัลฟา, เบตา, แกมมา, เดลตา และ โอไมครอน ตามลำดับ
การระบาดย่างเข้าสู่ช่วงปีที่ 3 ในยุคของตระกูลโอไมครอนกลับมีวิวัฒนาการเกิดเป็นสายพันธุ์ย่อยมากกว่า 300 สายพันธุ์ (omicron subvariants) โดยแต่ละสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น” มากกว่า 100 ตำแหน่ง
ส่วนหนามของโอไมครอนแต่ละสายพันธุ์ย่อยมีทั้งที่ซ้ำกับสายพันธุ์โอไมครอนดั้งเดิมประหนึ่งเป็นการรีไซเคิล (recycle) นำตำแหน่งการกลายพันธุ์ดั้งเดิมที่ใช้ได้ผล (ในการหลบเลี่ยงภูมิ หรือจับกับเซลล์) กลับมาใช้ใหม่ผสมผสานกับการกลายพันธุ์ตำแหน่งใหม่ซึ่งจำเป็นใช้แข่งขันกันเองเพื่อการอยู่รอดในหมู่ของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (variant soup)
การระบาดของโอไมครอนมีความหลากหลายในรูปแบบของการหมุนเวียนอยู่ในประชากรของโลก ซึ่งทำให้คาดเดาแนวโน้มการระบาดในอนาคตได้ยากขึ้น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจึงได้เปรียบการระบาดของโควิดในช่วงปีที่ 3 เสมือน ซุปโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) อันประกอบด้วยหลายหลายสายพันธุ์ย่อยเหมือนซุป เช่น BA.2.75, BA.2.75.2,BQ.1, BQ.1.1, BF.7, XBB, XBB.1,XBB.2, XBB.3,XBB.4, และ XBB.5 มีแข่งขันกันแพร่ระบาดเพื่อความอยู่รอด และเนื่องจากแต่ละสายพันธุ์ย่อยมีการรีไซเคิลตำแหน่งการกลายพันธุ์ของโอไมครอนดั้งเดิม เช่นในตำแหน่ง “R346, L452, K444, F486, N460”
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย XBB* (XBB,XBB.1-XBB.5 ฯลฯ) มีการกลายพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วคาดว่าจะเอาชนะทุกสายพันธุ์ย่อยได้รวมทั้ง BQ.1 และ ฺBQ.1.1
โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยมีการรีไซเคิลตำแหน่งการกลายพันธุ์ของโอไมครอนดั้งเดิม เช่นในตำแหน่ง “R346, L452, K444, F486, N460”
ซุปโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย (A soup of omicron subvariants) อาจก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ (new wave) ในแต่ละภูมิภาคด้วยสายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกัน
ขณะนี้จำนวนการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมในประเทศไทยลดลงอย่างมากเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ส่งมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา รพ. รามาธิบดี ช่วงนี้ลดเหลือเพียง 4-12 ตัวอย่างต่อวัน และตรวจพบ PCR เป็นบวกเพียงวันรายเดียวเท่านั้น