ข่าวสุขภาพ
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าว/กิจกรรม/สาระ รพ.ต่างๆ ข้อมูลบริการ รพ.ต่างๆ สาระความรู้สุขภาพ กิจกรรม ESG CSR Health Economy บริจาครพ.ต่างๆ
น่าสนใจไทยแลนด์
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

อาการปวดหัว - แบบร้ายแรง และ ไม่ร้ายแรง สังเกตอย่างไร

อาการปวดหัว - แบบร้ายแรง และ ไม่ร้ายแรง สังเกตอย่างไร Thumb HealthServ.net
อาการปวดหัว - แบบร้ายแรง และ ไม่ร้ายแรง สังเกตอย่างไร ThumbMobile HealthServ.net

อาการปวดศรีษะ เกิดได้จากหลายสาเหตุ หลายปัจจัย ร่างกายตอบสนองต่อร่างกายเอง หรือตอบสนองต่อปัจจัยภายนอก เช่น การใช้ชีวิต ความเครียด สังคม การกิน การพักผ่อน อาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่บางอาการปวดศรีษะ อาจเป็นสัญญาณของโรคที่รุนแรงได้ จะมีวิธีสังเกตอย่างไร

โรคปวดศีรษะ โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

1. กลุ่มที่ไม่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Primary  Headache)

กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ร้ายแรงมักปวดเป็นๆ หายๆ  ช่วงหายจะหายสนิท  ได้แก่  ไมเกรน , ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension – type Headache ) , ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache) เป็นต้น
 
1.1 ไมเกรน (Migraine)
เป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน มักปวดศีรษะขมับข้างใดข้างหนึ่ง ร้าวไปกระบอกตา หรือท้ายทอยได้  ปวดลักษณะตุบๆตามจังหวะชีพจรและมักปวดมากขึ้นหลังทำกิจวัตรประจำวัน มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยได้  ไม่ชอบแสงจ้าหรือเสียงดัง ระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้งประมาณ 4 ชั่วโมง ถึง 3 วัน
 
 
สาเหตุ
เชื่อว่ามีการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ชิดกับเยื่อหุ้มสมอง หลังจากที่ได้รับการกระตุ้น  ซึ่งได้แก่
  •  ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในผู้หญิง  เช่น ช่วงใกล้ประจำเดือน
  • อาหาร เช่น กาแฟ ช็อคโกแลต ชีส แอลกอฮอล์
  • การไม่สบายของร่างกายและจิตใจ เช่น นอนไม่พอ ทานอาหารไม่ตรงเวลา
  • สิ่งแวดล้อม เช่น อากาศร้อน แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน
 

1.2 ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension-type Headache)
เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดมักปวดมึนศีรษะเหมือนมีอะไรมารัดรอบศีรษะ บางคนร้าวลงต้น คอ บ่า สะบัก
 
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด
 
 
1.3 ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
พบได้บ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี มีลักษณะพิเศษ ได้แก่ ปวดศีรษะข้างเดียวบริเวณรอบ หรือ หลังเบ้าตาร้าวไปขมับเหมือนมีอะไรแหลมๆแทงเข้าตา ปวดมากจนรู้สึกกระสับกระส่าย ระยะเวลา 15 นาที – 3 ชั่วโมง  ใน 1 วัน เป็นได้หลายครั้งและมักปวดเป็นเวลาเดิมของทุกวันติดต่อกันเป็นสัปดาห์ถึงเดือน  พอหายปีนี้ ปีหน้าก็อาจปวดในช่วงเดือนใกล้เคียง มีอาการร่วมทางระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ลืมตาลำบาก ตาบวม ตาแดง น้ำตาหรือน้ำมูกไหล ม่านตาหดเล็กลง ซึ่งเป็นข้างเดียวกับที่ปวด
 
 
สาเหตุ
เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่ควบคุมเวลาของร่างกายที่ชื่อ Hypothalamus ทำงานผิดปกติ ทำให้เส้นประสาทสมองที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกของใบหน้าพร้อมทั้งระบบประสาทอัตโนมัติและหลอดเลือดข้างคียงเกิดการเปลี่ยนแปลง
 
 

2.กลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Secondary Headache)

เช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หลอดเลือดสมองโป่งพอง หลอดเลือดอักเสบ เลือดออกในสมอง กระดูกคอเสื่อม ต้อหิน โพรงไซนัสอักเสบ เป็นต้น
 
 
วิธีการสังเกตว่าปวดศีรษะจากกลุ่มนี้ 

ได้แก่
 
       1.ปวดทันทีและรุนแรงมาก
 
       2.ปวดมากแบบที่ไม่เคยปวดมาก่อนเลยในชีวิต
 
       3.ปวดจนต้องตื่นนอนตอนกลางคืน
 
       4.ปวดมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีช่วงหายปกติ
 
       5.ปวดรูปแบบใหม่ซึ่งไม่เหมือนกับที่เคยปวดมาเป็นประจำ
 
       6.มีอาการต้นคอแข็ง อาเจียนมาก มีไข้
 
       7.มีอาการอ่อนแรง มองเห็นภาพซ้อน ตามัว พูดไม่ชัด สับสนหรือจำอะไรไม่ได้
 
      8.ปวดเมื่อไอ จาม หรือ เบ่งปัสสาวะหรืออุจจาระ
 
      9.ปวดครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี
 
      10. ปวดสัมพันธ์กับท่าทาง
 
      11.มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะภูมิคุ้มกันร่างกายไม่ดี
 
 
       หากมีอาการดังกล่าว  ที่ชวนสงสัยโรคที่น่าจะมีรอยโรคในสมองควรรีบพบแพทย์  แพทย์จะใช้วิธีการถามอาการอย่างละเอียดและตรวจร่างกาย  ทางระบบประสาท หากสงสัยว่าจะมีรอยโรค  จะตรวจยืนยันด้วยภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Brain) หรือภาพแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI Brain) หรือตรวจภาพหลอดเลือดสมอง (MRA) หรือว่าสงสัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบก็ต้องเจาะหลังตรวจน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง อย่างละเอียดต่อไป
 
 
       อย่างไรก็ตามหากไม่แน่ใจว่าจะเป็นโรคในกลุ่มที่ไม่มีรอยโรคก็ตาม ก็ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาการใช้ยาที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงจากยา
 
 
 
 
 

ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด