จากกรณี ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อถึงแพทย์รายหนึ่งซึ่งอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถใช้หินศิลาบำบัดที่ตัวเองคิดค้นและวิจัยขึ้น ดูดเอาเชื้อร้ายอย่างมะเร็งออกมาทางน้ำเหลือง อุจจาระ ปัสสาวะ สามารถรักษาได้ทุกโรค รวมถึงป้องกันโรคโควิด 19 ได้อีกด้วยนั้น
7 มกราคม 2565 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกองกฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ คลินิกการแพทย์แผนไทยดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 3 โดยจากการตรวจสอบข้อมูล คลินิกดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แต่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ลงไปตรวจสอบในวันนี้ กลับพบว่าคลินิกดังกล่าวปิดทำการ จึงได้ออกคำสั่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำที่กรม สบส.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งในเบื้องต้นจะมีการแจ้งข้อหากับทางคลินิก ในข้อหาการกระทำผิดกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐานโฆษณาเป็นเท็จหรือโอ้อวดเกินความจริง หรือน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกอบกิจการของสถานพยาบาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท นับแต่วันที่ฝ่าฝืนคำสั่งที่ให้ระงับการโฆษณา หรือประกาศ จนกว่าจะระงับการโฆษณาหรือประกาศดังกล่าว และจะมีการตรวจสอบถึงมาตรฐานการบริการ และตัวผู้ให้บริการว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่
หากพบว่าผู้ให้บริการมิใช่แพทย์ (หมอเถื่อน) ก็จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายกับทั้งตัวหมอเถื่อนและผู้ดำเนินการ พร้อมส่งต่อให้สภาแพทย์แผนไทยตรวจสอบมาตรฐานวิชาชีพต่อไป
ด้าน นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ขอย้ำเตือนให้พี่น้องประชาชนทุกท่าน พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนเลือกรับบริการรักษาพยาบาลไม่ว่ากรณีใดก็ตามขอให้ประชาชนเลือกรับบริการจากแพทย์ และสถานพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น อย่าหลงเชื่อเพียงคำบอกเล่าปากต่อปากว่าดี หรือการโฆษณาอวดอ้างว่าสามารถรักษาได้สารพัดโรคให้หายขาด โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต, โรคทางจิตเวช, โรคความดันโลหิต, โรคทางสมอง หัวใจและหลอดเลือด และโรคเอดส์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถรักษาอาการของโรคข้างต้นให้หายขาดได้ หากพบเห้นขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง หากอยู่ใน กทม.ขอให้แจ้งที่สายด่วนกรม สบส. 1426 แต่หากอยู่ในส่วนภูมิภาคให้แจ้งที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป