2 มิถุนายน 2566 นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ได้คาดการณ์ว่าไข้เลือดออกจะกลับมาระบาดอีกครั้งในปีนี้ตามวงรอบของปีที่จะระบาด ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ เมื่อฝนตกจะทำให้น้าขังในภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งวางไข่ของยุง สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 พฤษภาคม 2566 พบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น โดยพบผู้ป่วยจำนวน 18,173 ราย เสียชีวิต 15 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มอายุ 5-14 ปี (6,088 ราย อัตราป่วย 79.00) รองลงมา 15-24 ปี (4,247 ราย อัตราป่วย 49.53) ส่วนจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงที่สุดในเดือนพฤษภาคม คือ จังหวัดตราด น่าน จันทบุรี แม่ฮ่องสอน และระยอง ตามลำดับ
นายแพทย์ธเรศ กล่าวต่อว่า สำหรับลักษณะอาการของโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้สูงเฉียบพลัน และสูงลอยประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และเบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งลักษณะอาการบางอย่างของโรคไข้เลือดออก อาจมีอาการคล้ายกับโรคโควิด 19 จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาการป่วยของคนในครอบครัว หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง ขอให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก และไม่ควรซื้อยารับประทานเองโดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก แอสไพริน รวมถึงยาชุด ซึ่งมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้ง่ายและยากต่อการรักษา ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย ประเมินอาการ เพื่อที่จะได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตได้ ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ชุดตรวจโรคไข้เลือดออกชนิดรวดเร็ว (Dengue Rapid Diagnosis Test) ทำให้สามารถวินิจฉัยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกได้เร็วมากขึ้น
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ส่วนใหญ่คือเด็กมีภาวะอ้วน รองลงมาคือไปรับการรักษาล่าช้า และได้รับยาในกลุ่ม NSAIDs ซึ่งในขณะนี้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน จึงขอความร่วมมือสถานศึกษาทั่วประเทศ ช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียน จัดการขยะ เก็บกวาดเศษใบไม้ทำให้สิ่งแวดล้อมปลอดโปร่ง พร้อมทั้งสำรวจและกำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายในโรงเรียนทุกสัปดาห์
นอกจากนี้ การป้องกันโรคไข้เลือดออกให้ได้ผลดีที่สุด คือการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุงหรือนอนในมุ้ง กำจัดแหล่งวางไข่ยุงลายรอบบ้าน ทำลายภาชนะที่มีน้ำขัง หรือใช้ทรายกำจัดลูกน้ำบริเวณน้ำขัง และที่สำคัญต้องไม่สร้างแหล่งวางไข่ยุงลายเพิ่มขึ้น โดยขอให้ยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ เก็บบ้านให้สะอาด ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและรอบบ้าน ให้มีความเป็นระเบียบ ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง เก็บขยะ บริเวณรอบบ้านไม่ให้เป็นแหล่งวางไข่ยุงลาย และ เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์ พร้อมทั้งขัดขอบภาชนะ เพื่อกำจัดไข่ยุงลาย ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถป้องกันโรคติดต่อนำโดยยุงลายได้ทั้ง 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422