ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

7 ปีที่เลิกกินสัตว์ 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ - พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์

7 ปีที่เลิกกินสัตว์ 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ - พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ HealthServ.net
7 ปีที่เลิกกินสัตว์ 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ - พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ ThumbMobile HealthServ.net

เรื่องเล่าประสบการณ์การทบทวนระยะเวลา 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ ของคุณชุน พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ และคุณเอ (ภรรยา) วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์ ที่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงชีวิตและวิถีสู่การละเลิกบริโภคสัตว์ หันมาเป็นมังสวิรัติจริงจังฟูลไทม์แบบไม่ประนีประนอม วันนั้นเมื่อปี 2559 ถึงวันนี้ในปี 2566 คือ 7 ปีของเส้นทางนั้น กับผลที่ได้อันวิเศษที่สามารถพูดได้อย่างเต็มคำว่า "มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรงด้วยการกินแต่พืชเท่านั้น"

 17 กันยายน 2559 คือวันที่ผมปักหมุดไว้ว่าเราได้เริ่มต้นหยุดกินสัตว์แล้วอย่างตั้งใจ และอีกประมาณหนึ่งปีต่อมา ในค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรม (ค่ายหมอเขียว) ที่สวนป่านาบุญ 2 จ. นครศรีธรรมราช ผมได้ตั้งศีลเลิกกินไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย มาจนถึงปีนี้ พ.ศ. 2566 ก็จะครบรอบปีที่ 7 ของการเป็นนักมังสวิรัติแล้ว ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ และมันก็นานพอที่จะทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันคือ New Normal หรือ “ชีวิตใหม่” ที่เป็นปกติธรรมดาไปเสียแล้ว
 
ระยะเวลา 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ จะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเทียบระยะเวลานี้กับอะไร ถ้าเล่าให้นักมังสวิรัติรุ่นใหม่ที่กำลังพยายามเลิกกินสัตว์ให้ได้อย่างเด็ดขาดฟัง เวลา 7 ปีก็เป็นเวลาที่ยาวนานและท้าทายพอสมควร ในการพิสูจน์สัจจะและความตั้งใจจริงในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง แต่ถ้าหันไปมองดูชีวิตของนักมังสวิรัติรุ่นพี่อีกเป็นจำนวนมากที่เลิกกินสัตว์มาแล้วหลายสิบปี เวลา 7 ปีนี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของการเดินทางอันยาวไกล บนเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ที่หยุดการเบียดเบียนและเพิ่มพูนการเสียสละทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น
 
หากจะเทียบกับระยะเวลาในชีวิตของตัวผมเอง ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ผมได้ใช้ชีวิตในโลกนี้มาแล้ว 51 ปี ช่วงเวลา 7 ปียังนับว่าสั้นนักเมื่อเทียบกับ 44 ปีก่อนหน้านั้นที่ผมยังกินสัตว์อยู่ แต่ผมรู้สึกว่าน้ำหนักของเวลาในช่วง 7 ปีหลังนี้ มันสัมผัสได้ชัดเจนกว่า มีมวลและน้ำหนักมากกว่า 44 ปีก่อนที่ยังใช้ชีวิตล่องลอยปล่อยไหลไปตามโลกอยู่ มันเป็น 7 ปีของการหยั่งรากลงดินและงอกเงยขึ้นสู่ฟ้าอย่างมั่นคง มีความแข็งแรงพอที่จะแตกกิ่งใบ ต่อยอด และขยายลำต้นเติบใหญ่ขึ้นไปตามลำดับ

 
7 ปีที่เลิกกินสัตว์ 7 ปี ของการเป็นนักมังสวิรัติ - พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ HealthServ

 
ในช่วงเริ่มต้นที่ผมยังศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินมังสวิรัตินั้น ผมเคยอ่านเจอบทความชิ้นหนึ่งที่บอกว่า เมื่อเราเลิกกินสัตว์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เซลล์ในเม็ดเลือดและกล้ามเนื้อของเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาจากองค์ประกอบของพืช และเมื่อครบ 7 ปี เซลล์ทุกเซลล์รวมทั้งเซลล์กระดูกซึ่งจะผลัดเปลี่ยนเซลล์ช้าที่สุด จะกลายเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เรียกได้ว่าสรีระทั้งหมดของเราจะกลายเป็นองค์ประกอบใหม่ที่สร้างมาจากพืชทั้งสิ้น ไม่เหลือองค์ประกอบเดิมที่มาจากสัตว์อีกเลย หรือจะบอกว่าเราจะได้ร่างใหม่ทั้งร่างที่สร้างขึ้นมาจากพืชล้วน ๆ ก็ได้
 

นั่นคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบาย แต่ผมไม่มีตาทิพย์ที่จะสามารถมองทะลุเข้าไปเห็นสภาพภายในเซลล์ของตัวเองได้ ไม่อาจยืนยันได้ว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของผมปราศจากองค์ประกอบที่สร้างมาจากสัตว์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือยัง หรือจะมีเครื่องมือตรวจวัดชนิดใดที่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผมก็ไม่มีความรู้เลย แต่ด้วยจิตวิญญาณของผมเอง ผมมั่นใจว่าชีวิตผมมีความเป็นพืชมากกว่าสัตว์แล้ว ผมเป็นมนุษย์ที่กินแต่พืชเท่านั้น ไม่มีชีวิตสัตว์ใด ๆ ต้องถูกฆ่าเพราะเหตุที่ผมจะกินมันอีกต่อไป ผมไม่เหลือความอยากจะกินเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง และชีวิตผมก็ยังคงเป็นปกติสุขดี ร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ทำกิจกรรมการงานต่าง ๆ ได้เป็นปกติ ไม่มีอาการขาดสารอาหารใด ๆ มีความเจ็บป่วยบ้างเป็นบางคราว แต่ก็ไม่ร้ายแรงเรื้อรัง สามารถดูแลตัวเองให้หายป่วยได้โดยไม่ยาก
 


 

มนุษย์สามารถอยู่ได้ด้วยการกินพืช


ถึงวันนี้ ผมไม่มีความสงสัยอะไรอีกเลย ผมได้พิสูจน์แล้วด้วยชีวิตของตัวเองว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรงด้วยการกินแต่พืชเท่านั้น อันที่จริง มนุษย์ที่กินพืชจะแข็งแรงกว่ามนุษย์ที่กินสัตว์ด้วยซ้ำ แม้แต่สัตว์ที่กินพืชก็แข็งแรงกว่าสัตว์ที่กินสัตว์ พวกสัตว์กินพืชอย่างช้าง ม้า วัว ควายนั้นแข็งแรงกว่าเสือหรือสิงโตเสียอีก แต่ที่พวกมันต้องถูกฆ่าและกินโดยสัตว์ที่ตัวเล็กกว่าและมีเรี่ยวแรงน้อยกว่าก็เพราะสรีระของมันไม่มีเขี้ยวและเล็บอันแหลมคมเป็นอาวุธเท่านั้น ร่างกายของพวกมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการล่าและการฆ่าเลย มันจึงต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ที่ติดอาวุธมาแต่กำเนิดเพื่อการฆ่าโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการล่าและฆ่าของพวกสัตว์กินสัตว์ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสัตว์กินพืชเหมือนกัน หากพวกมันอยู่รวมกันเป็นหมู่และพร้อมเพรียงกันต่อสู้ปกป้องพวกพ้องตนเองจากผู้ล่าอย่างแข็งขัน
 
สรีระของมนุษย์ก็เช่นกัน ไม่มีเขี้ยวและเล็บชนิดที่จะใช้ล่าและกินสัตว์เป็นอาหาร รวมไปถึงลำไส้ของเราก็เป็นแบบเดียวกับพวกสัตว์กินพืชด้วย แต่มนุษย์ได้พัฒนาอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้เรากลายเป็นสัตว์ที่ทำร้ายทำลายสัตว์ด้วยกันมากที่สุดในโลก เรานึกว่าเราฉลาดที่สามารถสร้างอาวุธขึ้นมาล่าและฆ่าสัตว์อื่นเป็นอาหารได้ ไม่ใช่แค่สัตว์อื่นเท่านั้น เรายังมีอาวุธสำหรับเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเป็นจำนวนมากด้วย นี่คือบ่วงกรรมอันใหญ่หลวงที่ครอบงำชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ในโลกปัจจุบัน
 
คนส่วนใหญ่ในโลกยังคงถูกครอบงำด้วยข้อมูลและความรู้เดิมอยู่ แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีข้อมูลใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์มายืนยันแล้วว่าการกินพืชนั้นแข็งแรงกว่าการกินสัตว์ แต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ก็ยังไม่แพร่หลายและยังไม่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป แม้แต่หมอ พยาบาล รวมทั้งนักโภชนาการส่วนใหญ่ก็ยังคงสนับสนุนการกินสัตว์อยู่ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มของผู้ที่หันมากินมังสวิรัติ เป็นวีแกน (Vegan) หรือกินอาหารแบบแพลนท์เบส (Plant Based Food) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ถึงจุดหนึ่ง มนุษย์ส่วนใหญ่จะหันกลับมากินพืชเป็นหลักได้

 
ระหว่างที่ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่ในบ้านพ่อที่นนทบุรี มียุงตัวหนึ่งบินมาเกาะที่โคนนิ้วโป้งและเริ่มเจาะผิวหนังเพื่อจะดูดเลือดผมเป็นอาหาร ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บยิบ ๆ ตรงที่มันเกาะอยู่ ผมจึงเอามืออีกข้างค่อย ๆ ไล่มันออกไปจากนิ้วมือนั้นอย่างนุ่มนวล
 

นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยที่ผมยังกินสัตว์อยู่ ยุงตัวนี้คงถูกผมตบตายคามือไปแล้ว ผมเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมันคือผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมได้มาจากการเลิกกินสัตว์ด้วย นอกจากร่างกายที่เบาสบายและแข็งแรงขึ้นแล้ว การไม่กินสัตว์ด้วยจิตวิญญาณที่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างชัดเจน จะทำให้เราไม่ต้องการเบียดเบียนชีวิตใด ๆ แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ทำความรำคาญแก่เราด้วย เพราะเราจะเห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า ชีวิตสัตว์แม้เล็กแม้น้อยเพียงใด เขาก็เป็นชีวิต มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึก รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา เราไม่อยากให้ใครมาทำร้ายเราอย่างไร สัตว์อื่นก็ไม่อยากให้ใครไปทำร้ายเขาเหมือนกัน เราไม่กินเขาเพราะเราเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าชีวิตเขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างไรก่อนจะถูกทำเป็นอาหารมาให้เราได้กิน แม้เราจะไม่ได้ลงมือฆ่าเขาเอง แต่การกินเลือดเนื้อชีวิตของเขาก็มีส่วนให้เขาต้องได้รับความเดือดร้อนด้วย และเขาก็มีจิตวิญญาณที่มีความรู้สึกโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาททุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำต่อชีวิตของเขาได้ พลังงานแห่งความพยาบาทนี้เองที่หมุนวนอยู่ในโลกของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลต่อทุกชีวิตที่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ่วงแห่งกรรมนั้น ดังนั้น การกินสัตว์แม้ไม่ได้ฆ่าเองก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในวังวนแห่งวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงและฆ่าไปด้วย
 
 
 
แล้วด้วยความเข้าใจเรื่องกรรมอย่างนี้เอง ทำให้ผมรู้สึกโล่งและสบายใจขึ้นอย่างมากที่ชีวิตเราหลุดพ้นออกมาจากการกินสัตว์ได้แล้ว ผ่านมา 7 ปี ผมยิ่งมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าชีวิตเราจะไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังวนของการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องอาศัยชีวิตสัตว์ใด ๆ มาเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตเราอีกต่อไป ทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติอื่น ๆ สืบไป นี่คือความมหัศจรรย์และเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของผม
 
สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปสั้น ๆ ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เลิกกินสัตว์มาเป็นเวลา 7 ปีแล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยทีเดียว ผมจะหวงแหนและรักษาสิ่งนี้ไว้กับตัวเองไปจนตายในชาตินี้ และจะพยายามสืบต่อไปอีกในชาติต่อ ๆ ไปด้วย มันคือสมบัติอันยิ่งใหญ่ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใด ๆ ทั้งสิ้นในโลก เป็นทรัพย์ของจิตวิญญาณที่จะติดตัวเราไปได้ตลอดกาลนาน ตราบเท่าที่เรายังคงมีศรัทธาตั้งมั่นและเชื่อชัดในเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งเช่นนี้อยู่


พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ 
วิภาภรณ์ กอจรัญจิตต์
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด