กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 เพิ่มขึ้นตามคาดการณ์ จากภูมิคุ้มกันหมู่ในประชาชนลดลง คนฉีดวัคซีนเข็มล่าสุดนานเกิน 6 เดือนเพิ่มขึ้น และมีเชื้อสายพันธุ์ย่อยมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในสมาชิกครอบครัว และการร่วมกิจกรรมที่รวมกลุ่มคนจำนวนมาก หลังสงกรานต์ 1–2 สัปดาห์ให้เน้นมาตรการป้องกันตนเองทั้งในครอบครัวและที่ทำงาน ส่วนผู้เสียชีวิต 2 รายล่าสุด พบอายุไม่มากแต่มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคประจำตัวและได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 3 เดือน ย้ำกลุ่มเสี่ยง 608 รีบเข้ารับวัคซีนหรือ LAAB เพิ่มภูมิคุ้มกัน
18 เมษายน 2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของกรมควบคุมโรค ซึ่งเทียบเคียงกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยคาดว่าระดับภูมิคุ้มกันหมู่ในประชาชนลดลงจากการที่มีผู้ฉีดวัคซีนเข็มล่าสุดนานเกิน 6 เดือนเพิ่มขึ้น และพบผู้ติดเชื้อลดลงในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2566 รวมทั้งพบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ย่อยอื่นจากต่างประเทศ ทำให้จะพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นระลอกเล็กๆ ได้ในช่วงเปิดเทอม และจะพบการระบาดเพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูฝน โดยสัปดาห์ล่าสุด (วันที่ 9-15 เมษายน 2566) พบผู้ป่วยรายใหม่ 435 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 30 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 19 ราย และผู้เสียชีวิต 2 ราย
ทั้งนี้ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว โดยเป็นการติดเชื้อในสมาชิกครอบครัว และการร่วมกิจกรรมที่มีกลุ่มคนจำนวนมาก ช่วงหลังสงกรานต์ 1-2 สัปดาห์นี้ จึงควรเน้นมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือบ่อยๆ ทั้งในครอบครัวและสถานที่ทำงาน
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย พบว่าอายุไม่มาก แต่รายหนึ่งมีโรคประจำตัว ส่วนอีกรายได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกินกว่า 3 เดือน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เมื่อติดเชื้อแล้วเกิดอาการรุนแรง ดังนั้น การฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันจึงยังมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 จะช่วยลดอาการหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป หรือ LAAB ได้เช่นกัน โดยติดต่อขอรับบริการได้ที่สถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน นอกจากนี้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หากต้องไปร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากหรือไปในที่สาธารณะ และหากติดเชื้อโควิด 19 ให้เข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล ซึ่งได้จัดเตรียมยาและวัคซีนไว้ให้บริการอย่างเพียงพอแล้ว
กรมควบคุมโรคเฝ้าระวัง
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นชัดเจนช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งผู้ป่วยรายใหม่และผู้ป่วยหนักโดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว และจากการที่กองระบาดวิทยาได้ประเมินลักษณะทางระบาดวิทยาของโควิด 19 พบว่ามีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ คือ มีการระบาดตามฤดูกาล จึงคาดประมาณได้ว่าอาจมีการระบาดของโควิด 19 สูงขึ้นในช่วงฤดูฝน กระทรวงสาธารณสุขจึงขอให้ประชาชนเร่งเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำปีก่อนเข้าฤดูฝนซึ่งจะเริ่มฉีดในปี 2566 เป็นปีแรก โดยฉีดปีละ 1 เข็ม สามารถใช้วัคซีนชนิดใดหรือรุ่นใดก็ได้โดยให้ห่างจากเข็มสุดท้ายหรือประวัติการติดเชื้ออย่างน้อย 3 เดือน และไม่ต้องนับว่าเป็นเข็มที่เท่าใด โดยกรมควบคุมโรคได้มีการจัดเตรียมวัคซีนให้กับทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป และได้มีการจัดหาวัคซีนรุ่นใหม่สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่อายุ 12 ปีขึ้นไปด้วย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเข้ารับบริการฉีดโควิด 19 ได้ที่หน่วยบริการตามที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำหนดไว้ สำหรับสถานที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขใน กทม. ได้แก่ ศูนย์บางรัก โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันโรคผิวหนัง สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โรงพยาบาลสงฆ์ และสถาบันบำราศนราดูร จังหวัดนนทบุรี
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับคำแนะนำการฉีดใหม่ให้เป็นการฉีดวัคซีนโควิดประจำปี เนื่องจากผลการสำรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประชากรไทยทั้งจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และการศึกษาจากศาสตราจารย์ยง ภู่วรวรรณ พบว่าประชากรไทยส่วนใหญ่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แล้ว จากการติดเชื้อหรือการรับวัคซีน การปรับคำแนะนำจึงเน้นคำแนะนำการฉีดให้เป็นแบบที่เข้าใจง่าย คือ ให้ฉีดวัคซีนโควิดประจำปี โดยขอเน้นให้กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 608 พนักงานบริการหรือผู้ที่มีอาชีพต้องสัมผัสคนเป็นจำนวนมาก หรือผู้อยู่ในสถานที่แออัด เช่น ทัณฑสถาน รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า และเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เข้ารับวัคซีนประจำปีโดยเร็วเพื่อลดอาการป่วยหนัก เสียชีวิต และรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ ก่อนการระบาดของโควิด 19 ตามฤดูกาล ทั้งนี้ประชาชนทั่วไปก็สามารถรับวัคซีนโควิดประจำปีได้เช่นเดียวกันตามความสมัครใจ