สปสช.ยืนยันรัฐจัดสรรงบฯ ให้แล้ว
เนื่องจากรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้ สปสช.ผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับเป็นการตรวจคัดกรอง COVID-19 ให้กับโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง
ขณะที่ นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุว่า โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง ยินดีให้บริการตรวจคัดกรอง COVID-19 แก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐบาล
สิทธิการตรวจคัดกรอง COVID-19 เป็นสิทธิของคนไทยทุกคน ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ที่ใช้สิทธิประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ ตลอดจนสิทธิสุขภาพอื่นๆ ด้วย
“ขอย้ำว่า คนไทยทุกคนเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ฟรี และขอให้ผู้ที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง รีบไปเข้ารับการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 โดยเร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง คนในครอบครัว คนใกล้ชิด และจะเป็นการป้องกันการระบาดในวงกว้างอีกทางหนึ่งด้วย”
เพราะอะไร “เตียงไม่พอ”
หากหันกลับมามองด้านโรงพยาบาลเอกชน ถ้าย้อนกลับไปดูจะพบว่า ในช่วงต้นที่มีการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 หน่วยงานที่จะตรวจได้ ต้องเป็นโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น
แต่ต่อมาโรงพยาบาลเอกชนสมัครใจที่จะตรวจเอง อย่างน้อยก็เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐ กระทั่งขยายออกไปมากขึ้น
ส่วนปัญหา “เตียงไม่พอ” ในโรงพยาบาลเอกชน เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อพบว่ามีผู้ติดเชื้อมากขึ้น
“หากดูสัดส่วนพบว่า เฉพาะในกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลเอกชนมากถึง 60 เปอร์เซนต์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย 20 เปอร์เซนต์ โรงพยาบาลสังกัดกองทัพ 10 เปอร์เซนต์ และโรงพยาบาลของรัฐบาล 10 เปอร์เซนต์”
ด้วยเหตุผลนี้คนส่วนใหญ่ จึงเลือกที่จะเข้าไปใช้บริการของเอกชนก่อนของรัฐบาล ทั้งเพื่อความสะดวกรวดเร็ว การบริการ
“เมื่อเฉพาะในกรณีนี้ ที่แม้จะเข้ารับการรักษาที่ไหน ก็ “ฟรี” เหมือนกัน การเลือกเข้าโรงพยาบาลเอกชน จึงเป็นสิ่งที่แรกที่คนจะนึกถึง นั่นคือสาเหตุที่พบว่า ทำไม “เตียงไม่พอ””
สิ่งที่ปรากฏออกมา เมื่อโรงพยาบาลเอกชนงดตรวจ โรงพยาบาลของรัฐเต็ม รัฐบาลจึงสั่งเร่งสร้าง “โรงพยาบาลสนาม” อย่างรวดเร็วในกรุงเทพฯ และแทบทุกจังหวัด เพื่อรองรับผู้ติดเช้อที่เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง หากเป็นต่างจังหวัด จะพบว่าไม่เกิดปัญหา “เตียงเต็ม” ในโรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้น เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เลือกที่จะเข้าไปตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐเป็นหลัก
ทำไมโรงพยาบาลเอกชนจึงไม่รับผู้ป่วย COVID-19
หลังเกิดปัญหาคนไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนจำนวนมาก ประกอบกับหลายรายขอย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน โดยเลี่ยงไม่ไปโรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel แต่มักได้รับการปฏิเสธว่า “เตียงเต็ม” เพราะ
- เมื่อมีผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม การเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่จะเกิดขึ้น
ทั้งค่าชุด PPE การจัดแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สนับสนุน อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ ห้องรักษาเฉพาะทาง อย่างไอซียู ห้องพัก อาหาร ฯลฯ หรือแม้แต่ลิฟต์ ที่จะต้องแยกจากผู้ป่วยทั่วไป ทั้งหมดคือ “ค่าใช้จ่าย”จำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้น
ขณะที่การเบิกจ่ายจากรัฐที่รัฐบอกว่า “รักษาฟรี” แต่โรงพยาบาลได้รับเพียง 30 เปอร์เซนต์ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อราย ที่เหลือโรงพยาบาลต้องรับผิดชอบ และจะต้องใช้เวลาในกระบวนการเบิก จนกว่าจะได้รับเงินนานถึง 45 วัน
- เมื่อมีคนรู้ว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ มีผู้ป่วยติดเชื้อเข้ามารับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคติดต่อ เลี่ยงที่จะเข้ามารับการรักษา ทำให้โรงพยาบาลสูญเสียรายได้
ทั้งที่หากโรงพยาบาลรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อรายอื่น ก็สามารถรักษาได้แบบทั่วไป และไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้โรงพยาบาลจึงเลือกที่จะ “ไม่ตรวจเชื้อ” ตั้งแต่ต้น เพื่อไม่รับผู้ติดเชื้อเข้าไปรักษา
- หากสังเกตจะพบว่า ทำไมหลายคนที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะคนมีชื่อเสียงอย่าง “ดารานักแสดง” จึงเข้ารับการรักษาได้ทันที หลังรู้ว่าตัวเองติดเชื้อ เพราะคนเหล่านี้ “พร้อมจ่าย” หรือมีประกันชีวิตที่ “พร้อมจ่าย” ทันที จึงไม่ต้องรอเตียง
ถึงตรงนี้ทำให้มองได้หลายมุม ในมุมทางการแพทย์ ในความเป็นมนุษย์อาจมองว่าไม่เป็นธรรม เป็นความเหลื่อมล้ำ แต่หากมองในเชิงธุรกิจการแพทย์ ก็เป็นความจริงอีกด้านเช่นกัน
แต่ทั้งหมดคือคำตอบ ที่เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่า หากรัฐบาลมีระบบจัดการด้านสาธารณสุขที่ดี เราก็จะไม่พบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ เช่นเดียวกับอีกหลายปัญหา