ข่าวสุขภาพ
ค้นหา รพ.-คลินิก-ร้านยาทั่วไทย ร้านยาคุณภาพของฉัน บริการสุขภาพ คลินิกเอกชน งาน รพ.
บริการวัคซีนโควิด บริการตรวจโควิด
ตำแหน่งงาน
ข่าวสุขภาพทั่วไป ข่าวธุรกิจสุขภาพไทย ข่าวธุรกิจสุขภาพรอบโลก กิจกรรม-บริการ รพ.ต่างๆ สิทธิสุขภาพชาวไทย สาระความรู้สุขภาพ Health Economy ท่องเที่ยวสุขภาพ กิจกรรม ESG CSR กิจกรรม Event บริจาค
น่าสนใจไทยแลนด์
English
About us เผยแพร่เนื้อหา สถิติเว็บไซต์ สำรวจความเห็นสุขภาพ โฆษณา
healthserv.net@gmail.com

ส่องนโยบายด้านสุขภาพ พรรคก้าวไกล

ส่องนโยบายด้านสุขภาพ พรรคก้าวไกล HealthServ.net
ส่องนโยบายด้านสุขภาพ พรรคก้าวไกล ThumbMobile HealthServ.net

ส่องนโยบายก้าวไกล ด้านสุขภาพ สังคม คุณภาพชีวิต จาก "9 เสานโยบายก้าวไกล" ทั้งหมด ซึ่งพรรคได้จำแนกหมวดหมู่ย่อยไว้ได้แก่ ฟื้นฟูผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล ดูแลบุคลากรทางการแพทย์ สุขภาพกายดี สุขภาพใจดี เพิ่มทางเลือก รักษาได้ใกล้บ้าน เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาล ไปสำรวจดูว่านโยบายใดน่าจะเริ่มได้เร็วหากก้าวไกลขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2566

 

ตรวจสุขภาพประจำปี ฟรีทั้งค่าตรวจ-ค่าเดินทาง

ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า
 
ข้อเสนอ
ตรวจสุขภาพประจำปีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต พร้อมกับให้ค่าเดินทางสำหรับเดินทางมาตรวจสุขภาพ

ตรวจสุขภาพประจำปี รวมคัดกรองมะเร็ง 6 ชนิดฟรี สำหรับกลุ่มเสี่ยง

 ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า
 
ข้อเสนอ
 
  • ที่ผ่านมา สิทธิในการคัดกรองมะเร็งหลายโรคอยู่ในสิทธิบัตรทองอยู่แล้ว แต่ยังติดที่ต้องมีอาการบ่งชี้ก่อน จึงจะให้แพทย์สั่งตรวจได้ ยกเว้นมะเร็งปากมดลูก ทำให้มีประชาชนกลุ่มเสียง เข้าไม่ถึง และตกหล่นจากการคัดกรองมะเร็ง
  • บรรจุสิทธิคัดกรองมะเร็งที่พบบ่อย 6 ชนิดลงในสิทธิตรวจสุขภาพบัตรทองตามความเสี่ยง ไม่ต้องรอแพทย์สั่ง เพื่อให้เข้าถึงการรักษามะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และมีค่าเดินทางเพื่อจูงใจให้ทุกคนเข้ามาตรวจสุขภาพ

พัฒนาสิทธิการคัดกรองมะเร็ง 6 ชนิด ให้เข้าถึงง่ายและดีขึ้น ดังนี้

มะเร็งเต้านม
  • ปัจจุบันมีการตรวจ mammogram อยู่แล้ว แต่ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งตรวจ การคัดกรองดังกล่าวจึงควรอยู่ในสิทธิการตรวจสุขภาพประจำปี ขึ้นกับความเสี่ยง ได้แก่
  • ผู้หญิง 40 - 55 ปีที่ไม่มีอาการ ควรได้ตรวจ mammogram ทุก 1 ปี
  • ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจ mammography ทุก 2 ปี
  • กลุ่มเสี่ยงควรได้รับการตรวจทุกปี ไม่ว่าจะเป็นผุ้หญิงที่มีคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งเต้านม ผู้ที่เคยได้รับการฉายแสงบริเวณหน้าอกเพื่อรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ผู้มีประวัติการรับฮอร์โมนเสริมหลังหมดประจำเดือนติดต่อกันเกิน 5 ปี

มะเร็งปากมดลูก
  • ปัจจุบันสิทธิในการตรวจ pap smear ในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือเคยมีเพศสัมพันธ์ ครอบคลุมในสิทธิบัตรทองอยู่แล้ว ตามสิทธิเฝ้าระวังโรค แต่ผู้ที่ไม่ได้เข้าไปใช้สิทธิยังมีอีกมาก
  • การระบุสิทธิคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในการตรวจสุขภาพประจำปี และมีค่าเดินทางให้ จะช่วยจูงใจให้ทุกคนเข้าตรวจคัดกรองมากขึ้น

มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ปัจจุบัน สิทธิในการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามบัตรทอง คือ การตรวจเลือดในอุจจาระ ซึ่งยังไม่แม่นยำ หากไม่ทำคู่กับการส่องกล้อง Colonoscopy ร่วมด้วย
  • เพิ่มสิทธิในการตรวจส่องกล้องให้กับกลุ่มเสี่ยงมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยอายุเริ่มตรวจ นับจากอายุของผู้ที่เป็นมะเร็งในครอบครัว ลบ 10 ปี และตรวจทุก1 - 3 ปี
มะเร็งต่อมลูกหมาก
  • ปัจจุบัน การเจาะเลือดดูค่า PSA เพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากต้องให้แพทย์สั่งตามข้อบ่งชี้ ไม่สามารถเริ่มตรวจเองได้
  • เพิ่มสิทธิการตรวจเข้าไปในการตรวจสุขภาพประจำปี ที่ต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพอยู่แล้ว
มะเร็งตับ
  • การเจาะเลือดดูค่า AFP และการ ultra-sound ช่องท้องเป็นสิทธิบัตรทอง ปกติไม่จำเป็นต้องคัดกรองทุกคน ยกเว้นกลุ่มที่เป็นไวรัสตับอักเสบที่แพทย์จะต้องให้คัดกรองอยู่แล้ว
  • เพิ่มสิทธิในกลุ่มเสี่ยง เช่น ในภาคอีสานจะมีมะเร็งตับอีกชนิด คือ Cholangiocarcinoma ที่เกิดจากพยาธิใบไม้ในตับที่มาจากปลาน้ำจืด ซึ่งกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ที่กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นประจำ ควรจะต้องรับการคัดกรองมะเร็งส่วนนี้อย่างสม่ำเสมอ
มะเร็งปอด
  • ปัจจุบันตามสิทธิบัตรทองมีทำเอ็กซเรย์ปอดแต่ยังขาดความแม่นยำในการคัดกรอง ควรใช้วิธีการคัดกรองด้วย CT ที่แม่นยำกว่า
  • เพิ่มสิทธิในการตรวจ CT ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอด ได้แก่ กลุ่มที่อายุ 55 ปี ขึ้นไปที่เป็นผู้สูบบุหรี่จัดในอัตรา 30 pack-year เป็นต้นไป รวมถึงกลุ่มเสี่ยงในภูมิภาคมีปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 และมลพิษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

วัคซีนเพิ่มเติมฟรีในเด็กและผู้ใหญ่

 ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า


 
ข้อเสนอ
 
  • วัคซีนเด็ก - เพิ่มวัคซีนหลายประเภท
  • โรคไข้หวัดใหญ่
  • โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่กลับมาระบาดสูงอีกครั้ง และพบมากที่สุดในเด็กช่วงอายุ 5-14 ปี การฉีดวัคซีนไข้เลือดออกเดงกี่ ลดความรุนแรงของโรคได้กว่า 80 %
  • โรคพิษสุนัขบ้า การฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็กจะช่วยลดจำนวนวัคซีนที่ต้องฉีดกรณีที่พบว่าเสี่ยงได้รับโรคพิษสุนัขบ้าในภายหลัง ซึ่งวัคซีนที่ต้องฉีดหากไม่เคยได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้ามาก่อนมีราคาที่ค่อนข้างสูง
  • โรคอีสุกอีใส โดยฉีดเป็นวัคซีน MMRV ที่รวมเข็มกับวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน หรือ MMR ในวัคซีนจำเป็นเดิม
  • วัคซีนผู้สูงอายุ - เพิ่มวัคซีนปอดอักเสบ
  • โรคปอดอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด สำหรับผู้สูงวัย ฉีดเข็มเดียวแต่ป้องกันได้ตลอดชีวิต โดยอาการปอดบวมและติดเชื้อในกระแสเลือด ถือเป็นสาเหตุในการเสียชีวิตหลักของผู้สูงอายุ

แว่นตาฟรีถึง 18 ปี

ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า
 
ข้อเสนอ
ให้แว่นตาฟรี สำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่มีปัญหาทางสายตา อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

สุขภาพดี มีรางวัล (Health Score)

ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า
 
ข้อเสนอ
เพิ่มระบบแรงจูงใจประจำปี – เป้าหมายสุขภาพรายบุคคล
เป้าหมายสุขภาพรายบุคคล เป็นระบบคะแนนสุขภาพที่ขึ้นอยู่กับ
พฤติกรรมสุขภาพ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ จำนวนก้าวในการเดินต่อวัน
ผลการตรวจสุขภาพประจำปี เช่น เลือด น้ำหนัก BMI
การเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์
การไม่มีภาวะเจ็บป่วยที่ต้องมาโรงพยาบาล
ได้รับคูปองอาหารอินทรีย์/สินค้าสุขภาพ 300 บาท/ปี หรือรางวัลอื่น ๆ ที่จูงใจประชาชนให้รักษาสุขภาพ

ทบทวนสิทธิประโยชน์ของกองทุนหลักประกันสุขภาพ และกองทุนประกันสังคม

ปัญหา
ปัจจุบันนโยบายสาธารณสุขของไทย เน้นเรื่องด้านการรักษามากกว่าด้านการป้องกัน ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพโฆษณาของ สสส. ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจที่มากพอให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการบริโภค (เช่น กินอาหารรสจัด ดื่มสุรา สูบบุหรี่) ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ นำไปสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของไทย นอกจากนี้ภาครัฐยังขาดการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทย (เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี และการรักษาโรคตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยระยะยาว ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
 
นอกจากนั้น สิทธิประโยชน์ในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ครอบคลุมสิทธิประโยชน์บางประการที่มีความจำเป็นต่อสุขภาพของคนไทย อาทิ แว่นตาสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี การคัดกรองมะเร็ง วัคซีนป้องกันโรคบางโรคสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ และการตรวจสุขภาพจิต ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีความคุ้มค่าในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา หรือหากพบโรค (ในกรณีโรคมะเร็ง) ในระยะเวลาที่รวดเร็วย่อมทำการรักษาได้ง่ายกว่าและประหยัดค่าใช้ในการรักษาได้มากกว่า
 
ข้อเสนอ
ทบทวนบัญชียาหลักในระบบและสิทธิประโยชน์ในกองทุนสุขภาพให้เท่าทันกับวิทยาการทางแพทย์

ตรวจสุขภาพประจำปี ต้องมีตรวจสุขภาพจิตด้วย

ปัญหา
จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยอาจสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนไทย 40 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 คน โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเฉพาะกิจอย่างโควิด-19 ที่เพิ่มความเครียดให้กับผู้คน (เช่น นักเรียนจากการเรียนออนไลน์ คนวัยทำงานจากสภาพเศรษฐกิจ) และปัจจัยถาวรต่างๆที่งานวิจัยระบุว่าทำให้คนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาโรคซึมเศร้ามากกว่ารุ่นก่อนๆ (เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยงทำให้คนรู้สึกผิดหวังในตัวเองง่ายขึ้น จากการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนอื่น) และพบว่าคนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 1 อาเซียน จากปัญหาด้านสุขภาพจิต
 
ข้อเสนอ
กำหนดให้มีการตรวจสุขภาพจิตฟรี รวมเข้าไปในแพคเกจของการตรวจสุขภาพประจำปีตามสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชน

ดูแลสุขภาพจิตครบวงจร เพิ่มบุคลากร-ขยายบัญชียา-ใช้เทคโนโลยี

ปัญหา
จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยอาจสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนไทย 40 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 คน โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเฉพาะกิจอย่างโควิด-19 ที่เพิ่มความเครียดให้กับผู้คน (เช่น นักเรียนจากการเรียนออนไลน์ คนวัยทำงานจากสภาพเศรษฐกิจ) และปัจจัยถาวรต่างๆที่งานวิจัยระบุว่าทำให้คนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาโรคซึมเศร้ามากกว่ารุ่นก่อนๆ (เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยงทำให้คนรู้สึกผิดหวังในตัวเองง่ายขึ้น จากการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนอื่น) และพบว่าคนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 1 อาเซียน จากปัญหาด้านสุขภาพจิต
 
ข้อเสนอ
เพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิต (เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา)
ทบทวนบัญชียาหลักในระบบให้เท่าทันกับวิทยาการทางแพทย์
พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตรูปแบบใหม่ (เช่น การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) แพลตฟอร์มสุขภาพจิต)

คลินิกเยาวชน ปรึกษาได้ ไม่ต้องรายงานผู้ปกครอง-โรงเรียน

ปัญหา
จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยอาจสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนไทย 40 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 คน โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเฉพาะกิจอย่างโควิด-19 ที่เพิ่มความเครียดให้กับผู้คน (เช่น นักเรียนจากการเรียนออนไลน์ คนวัยทำงานจากสภาพเศรษฐกิจ) และปัจจัยถาวรต่างๆที่งานวิจัยระบุว่าทำให้คนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาโรคซึมเศร้ามากกว่ารุ่นก่อนๆ (เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยงทำให้คนรู้สึกผิดหวังในตัวเองง่ายขึ้น จากการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนอื่น) และพบว่าคนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 1 อาเซียน จากปัญหาด้านสุขภาพจิต
 
ข้อเสนอ
จัดตั้งคลินิกเยาวชน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการดูแลปัญหาด้านสุขภาพจิตให้เยาวชนโดยไม่จำเป็นต้องรายงานกับผู้ปกครองหรือโรงเรียน (ที่บางครั้งเป็นสาเหตุของปัญหา) และทำหน้าที่คัดกรองเบื้องต้นก่อนส่งต่อ

สร้างสังคมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี

ปัญหา
จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยอาจสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนไทย 40 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 คน โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเฉพาะกิจอย่างโควิด-19 ที่เพิ่มความเครียดให้กับผู้คน (เช่น นักเรียนจากการเรียนออนไลน์ คนวัยทำงานจากสภาพเศรษฐกิจ) และปัจจัยถาวรต่างๆที่งานวิจัยระบุว่าทำให้คนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาโรคซึมเศร้ามากกว่ารุ่นก่อนๆ (เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยงทำให้คนรู้สึกผิดหวังในตัวเองง่ายขึ้น จากการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนอื่น) และพบว่าคนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 1 อาเซียน จากปัญหาด้านสุขภาพจิต
 

ข้อเสนอ

ลดปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่เกิดจนแก่ เช่น
  • การมีสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็งสำหรับเด็กเล็ก พ่อแม่มือใหม่ได้รับการเสริมทักษะและการเตรียมความพร้อมทางสภาพจิตใจสำหรับการเลี้ยงดูลูก
  • การออกแบบระบบการศึกษาที่ไม่สร้างแรงกดดันเกินเหตุสำหรับนักเรียน (เช่น จำนวนชั่วโมงเรียนที่เหมาะสม ไม่มีอำนาจนิยมในโรงเรียน)
  • สภาพแวดล้อมและรูปแบบความสัมพันธ์ในชีวิตการทำงานที่เหมาะสม (เช่น สภาพการทำงานที่ปลอดภัย การเงินที่มั่นคง เวลาพักผ่อนที่เพียงพอ)
  • การเพิ่มพื้นที่สาธารณะที่คนสามารถแลกเปลี่ยน รับฟัง หรือผ่อนคลาย (เช่น กิจกรรมดนตรีในสวน การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การมีพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันสำหรับผู้สูงวัย)
  • การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่ทั่วถึงและถ้วนหน้า เพื่อเป็นตาข่ายรองรับความไม่แน่นอนในชีวิตรูปแบบต่างๆ
  • การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม และลดการเลือกปฏิบัติ ที่เสี่ยงจะเพิ่มความเครียดและความรู้สึกไม่เป็นธรรม

สร้างแนวหน้าสุขภาพจิต ช่วยดูแล-บำบัด-ฟื้นฟูสุขภาพจิตของคนใกล้ตัว

ปัญหา
จำนวนผู้ป่วยซึมเศร้าในประเทศไทยอาจสูงถึง 1.5 ล้านคน หรือเฉลี่ยคนไทย 40 คน จะพบผู้ป่วยซึมเศร้า 1 คน โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยเฉพาะกิจอย่างโควิด-19 ที่เพิ่มความเครียดให้กับผู้คน (เช่น นักเรียนจากการเรียนออนไลน์ คนวัยทำงานจากสภาพเศรษฐกิจ) และปัจจัยถาวรต่างๆที่งานวิจัยระบุว่าทำให้คนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มจะประสบปัญหาโรคซึมเศร้ามากกว่ารุ่นก่อนๆ (เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย ที่เสี่ยงทำให้คนรู้สึกผิดหวังในตัวเองง่ายขึ้น จากการเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตของคนอื่น) และพบว่าคนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 1 อาเซียน จากปัญหาด้านสุขภาพจิต
 
ข้อเสนอ

ยกระดับให้คนทุกคนในสังคมมาร่วมเป็น “แนวหน้าสุขภาพจิต” ที่มาช่วยสร้างเสริม ดูแล บำบัด และฟื้นฟูสุขภาพจิตของคนใกล้ตัวตามระดับความเชี่ยวชาญของตน ตั้งแต่
 
  • บุคลากรในครอบครัว (เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองที่ดูแลลูก คู่สมรส ลูกหลานที่ช่วยดูแลผู้สูงอายุ)
  • บุคลากรในโรงเรียน (เช่น นักจิตวิทยาประจำกลุ่มโรงเรียนที่ให้คำปรึกษา คุณครูที่ได้รับการเพิ่มทักษะในการดูแลสุขภาพจิตของผู้เรียน เพื่อนนักเรียนที่ช่วยดูแลกันและกัน)
  • บุคลากรในสถานประกอบการ (เช่น เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล)

อบรมประชาชนทุกกลุ่มด้วยทักษะขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพจิต เช่น
  • ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต
  • การเสริมทักษะการรับฟัง การสร้างกำลังใจ และการให้คำปรึกษา
  • การพัฒนาและปรับปรุงเครื่องมือประเมินความเสี่ยงพื้นฐาน ที่ทุกคนเข้าถึงและนำไปใช้งานต่อได้ (เช่น แบบทดสอบ 9 ข้อ สำหรับคัดกรองอาการซึมเศร้า)

ยกระดับ รพ. สต. และศูนย์สาธารณสุขชุมชน Primary Care Unit (PCU)

ปัญหา
เนื่องจากการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากสถานบริการสาธารณสุขแบบปฐมภูมิขาดความพร้อม โดยเฉพาะด้านบุคลากร นอกจากนี้ประชาชนยังต้องมีภาระในการขอข้อมูลสุขภาพของตัวเองระหว่างโรงพยาบาล ในกรณีที่ต้องมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น และการเข้าถึงเตียงผู้ป่วยใน ที่ถึงเข้าได้ยาก เพราะเตียงมักจะเต็ม และต้องใช้เวลาในการส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นที่มีเตียงว่าง นอกจากนี้การเข้ารับรักษาในห้องฉุกเฉินมักมีกรณีที่ผู้ป่วยไม่ใช่ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ทำให้เป็นการลดศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
 
ข้อเสนอ
ยกระดับบทบาทของสถานบริการสาธารณสุขแบบปฐมภูมิให้เน้น
(ก) การสร้างเสริมสุขภาพ
(ข) การติดตามโรคเรื้อรัง
(ค) การช่วยเหลือผู้ป่วยเร่งด่วน
(ง) การลดภาระในโรงพยาบาลใหญ่
เวียนแพทย์จากโรงพยาบาลอำเภอ มาปฏิบัติงานใน รพ.สต. ตามรอบที่กำหนดหรือติดตั้งระบบ Telemedicine ในกรณีที่แพทย์ไม่เพียงพอ

ปลดล็อกระบบการแพทย์ออนไลน์ Telemedicine

ปัญหา
เนื่องจากการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากสถานบริการสาธารณสุขแบบปฐมภูมิขาดความพร้อม โดยเฉพาะด้านบุคลากร นอกจากนี้ประชาชนยังต้องมีภาระในการขอข้อมูลสุขภาพของตัวเองระหว่างโรงพยาบาล ในกรณีที่ต้องมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น และการเข้าถึงเตียงผู้ป่วยใน ที่ถึงเข้าได้ยาก เพราะเตียงมักจะเต็ม และต้องใช้เวลาในการส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นที่มีเตียงว่าง นอกจากนี้การเข้ารับรักษาในห้องฉุกเฉินมักมีกรณีที่ผู้ป่วยไม่ใช่ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ทำให้เป็นการลดศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
 
ข้อเสนอ
 
  • พัฒนาระบบ Telemedicine สำหรับการพบแพทย์ ตามนัดหมายหรือในกรณีฉุกเฉิน
  • แก้ประกาศแพทยสภา เรื่อง มาตรฐานการตรวจรักษา เพื่อให้สามารถทำ telemed โดยไม่ต้องตรวจร่างกายได้

ยุติการตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ รับยาฟรี ทุก รพ.สต.

ปัญหา
เนื่องจากการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใหญ่ เนื่องจากสถานบริการสาธารณสุขแบบปฐมภูมิขาดความพร้อม โดยเฉพาะด้านบุคลากร นอกจากนี้ประชาชนยังต้องมีภาระในการขอข้อมูลสุขภาพของตัวเองระหว่างโรงพยาบาล ในกรณีที่ต้องมีการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอื่น และการเข้าถึงเตียงผู้ป่วยใน ที่ถึงเข้าได้ยาก เพราะเตียงมักจะเต็ม และต้องใช้เวลาในการส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นที่มีเตียงว่าง นอกจากนี้การเข้ารับรักษาในห้องฉุกเฉินมักมีกรณีที่ผู้ป่วยไม่ใช่ผู้ป่วยฉุกเฉินจริง ทำให้เป็นการลดศักยภาพในการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
 
ข้อเสนอ
 
  • คุ้มครองสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์ สำหรับบุคคลที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ให้สามารถรับยายุติการตั้งครรภ์ได้ที่ รพ.สต. ทุกแห่งทั่วประเทศ
  • โดยขั้นตอนของการขอรับยาคือ ให้ผู้หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ และต้องการยุติการตั้งครรภ์ สามารถเข้ามาพบแพทย์ที่ รพ.สต. ใกล้บ้าน (ทั้งในรูปแบบ Telemedicine และพบแพทย์โดยตรง) เพื่อทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย เพื่อจ่ายยายุติการตั้งครรภ์ต่อไป
  • มีการให้คำปรึกษาหลังจากการยุติการตั้งครรภ์ฟรี เพื่อตรวจสอบและฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้หญิงที่เข้ารับการยุติการตั้งครรภ์

ลดความแออัดในโรงพยาบาล - ห้องฉุกเฉิน (ER) กันไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน

ปัญหา
ปัจจุบัน ผู้ป่วยประสบปัญหาความล่าช้าและยุ่งยากในการส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา และการหาเตียงในโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐหลาย ๆ แห่งมักเตียงเต็ม ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการเชื่อมต่อข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย และจำนวนเตียงของโรงพยาบาล ที่ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
 
นอกจากนี้การบริจาคอวัยวะของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอวัยวะเพื่อต่อชีวิตของตัวเอง
 
ข้อเสนอ
การสงวนการตรวจในห้องฉุกเฉิน (ER) ไว้สำหรับอาการฉุกเฉิน ในกรณีผู้ป่วยอาการไม่ฉุกเฉินต้องรับบัตรคิว เพื่อมาตรวจในวันพรุ่งนี้

ส่งต่อ-หาเตียงแบบไร้รอยต่อ ด้วยศูนย์รวมเตียง-ระบบเชื่อมข้อมูลสุขภาพ

ปัญหา
ปัจจุบัน ผู้ป่วยประสบปัญหาความล่าช้าและยุ่งยากในการส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา และการหาเตียงในโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐหลาย ๆ แห่งมักเตียงเต็ม ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการเชื่อมต่อข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย และจำนวนเตียงของโรงพยาบาล ที่ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
 
นอกจากนี้การบริจาคอวัยวะของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอวัยวะเพื่อต่อชีวิตของตัวเอง
 
ข้อเสนอ
 
  • เชื่อมต่อข้อมูลด้านสาธารณสุขของแต่ละโรงพยาบาล ให้สามารถเรียกดูเวชระเบียนคนไข้ได้จากทุกที่เมื่อได้รับอนุญาตจากคนไข้ในฐานะเจ้าของข้อมูล เพื่อความสะดวกในการส่งต่อผู้ป่วย
  • ทำระบบรวมเตียงส่วนกลาง / Central Referral Centre โดยอาจเริ่มจากการนำเอาจำนวนเตียงว่าง 10-20% ของแต่ละโรงพยาบาลมาแชร์ข้อมูลกับส่วนกลางเพื่อให้รู้ว่าโรงพยาบาลไหนมีเตียงว่างบ้าง

เพิ่มยอดบริจาคอวัยวะเชิงรุก ถามทุกครั้งที่ทำบัตรประจำตัวประชาชน


ปัญหา
ปัจจุบัน ผู้ป่วยประสบปัญหาความล่าช้าและยุ่งยากในการส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา และการหาเตียงในโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐหลาย ๆ แห่งมักเตียงเต็ม ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการเชื่อมต่อข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย และจำนวนเตียงของโรงพยาบาล ที่ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
 
นอกจากนี้การบริจาคอวัยวะของคนไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกับผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอวัยวะเพื่อต่อชีวิตของตัวเอง
 
ข้อเสนอ
กำหนดให้เพิ่มคำถามเรื่อง “การบริจาคอวัยวะ” ทุกครั้งที่ทำบัตรประจำตัวประชาชน และบันทึกข้อมูลลงในชิปบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อผู้บริจาคอวัยวะเสียชีวิต

กองทุนดูแลผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยติดเตียง งบประมาณเฉลี่ย 9,000 บาท/คน/เดือน

ปัญหา
ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหรือเข้าไม่ถึงการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะปานกลาง ระยะยาว ระยะประคับประคอง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะนี้อย่างมีคุณภาพ หากจะเข้าการรักษาก็ต้องเป็นภาระของบุตรหลานหรือญาติในการดูแล เนื่องในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชุนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการรักษาระยะปานกลาง ระยะยาว และระยะประคับประคอง
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ยังไม่เข้าถึงในสถานบริการแบบปฐมภูมิ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคองเข้าไม่ถึงการรักษาแบบประคับประคอง ที่จะทำให้ตัวเองไม่ทรมานจากความเจ็บปวดจากอาการป่วยระยะสุดท้าย นอกจากยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในการรักษาในระยะประคับประคอง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางก็มีจำนวนน้อยและไม่ได้มีเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพที่ดี อีกทั้งยังขาดโครงพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรักษาแบบประคับประคอง
 
นอกจากการรักษาแบบประคับประคอง สิทธิที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความเจ็บป่วยทางกายแบบรักษาไม่ได้ที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต
 
ข้อเสนอ
 
  • พัฒนาให้ระบบสุขภาพสุขภาพปฐมภูมิดูแลเรื่องการฟื้นฟูที่บ้าน/ชุมชนได้ ผ่านการดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  • พัฒนาระบบกองทุนดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว งบประมาณ 9,000 บาท/คน/เดือน (นโยบายสวัสดิการ) ผ่านการดำเนินการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ศูนย์ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน อย่างน้อยอำเภอละหนึ่งแห่ง

ปัญหา
ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหรือเข้าไม่ถึงการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะปานกลาง ระยะยาว ระยะประคับประคอง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะนี้อย่างมีคุณภาพ หากจะเข้าการรักษาก็ต้องเป็นภาระของบุตรหลานหรือญาติในการดูแล เนื่องในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชุนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการรักษาระยะปานกลาง ระยะยาว และระยะประคับประคอง
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ยังไม่เข้าถึงในสถานบริการแบบปฐมภูมิ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคองเข้าไม่ถึงการรักษาแบบประคับประคอง ที่จะทำให้ตัวเองไม่ทรมานจากความเจ็บปวดจากอาการป่วยระยะสุดท้าย นอกจากยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในการรักษาในระยะประคับประคอง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางก็มีจำนวนน้อยและไม่ได้มีเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพที่ดี อีกทั้งยังขาดโครงพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรักษาแบบประคับประคอง
 
นอกจากการรักษาแบบประคับประคอง สิทธิที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความเจ็บป่วยทางกายแบบรักษาไม่ได้ที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต
 
ข้อเสนอ
 
  • พัฒนาศูนย์ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน อย่างน้อยอำเภอละหนึ่งแห่ง
  • พัฒนาหลักสูตรการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ทั้งสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ สำหรับผู้ดูแลมืออาชีพ สำหรับอาสาสมัครในชุมชน และสำหรับครอบครัวของผู้ป่วย
  • ยกระดับสถานบริการสาธารณสุขแบบปฐมภูมิ พัฒนา อสม. ให้ทำหน้าที่บางอย่าง (เช่น ดูแลผู้ป่วย NCD ได้) โดยมีค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น
  • เปิดให้ประชาชนวางแผนล่วงหน้า (Advanced Care Plan) เพื่อยินยอมเข้ารับการรักษาแบบประคับประคอง

ธนาคารอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

ปัญหา
ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหรือเข้าไม่ถึงการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะปานกลาง ระยะยาว ระยะประคับประคอง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะนี้อย่างมีคุณภาพ หากจะเข้าการรักษาก็ต้องเป็นภาระของบุตรหลานหรือญาติในการดูแล เนื่องในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชุนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการรักษาระยะปานกลาง ระยะยาว และระยะประคับประคอง
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ยังไม่เข้าถึงในสถานบริการแบบปฐมภูมิ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคองเข้าไม่ถึงการรักษาแบบประคับประคอง ที่จะทำให้ตัวเองไม่ทรมานจากความเจ็บปวดจากอาการป่วยระยะสุดท้าย นอกจากยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในการรักษาในระยะประคับประคอง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางก็มีจำนวนน้อยและไม่ได้มีเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพที่ดี อีกทั้งยังขาดโครงพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรักษาแบบประคับประคอง
 
นอกจากการรักษาแบบประคับประคอง สิทธิที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความเจ็บป่วยทางกายแบบรักษาไม่ได้ที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต
 
ข้อเสนอ
จัดตั้งธนาคารอุปกรณ์ให้ยืมอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (เช่น เครื่องปั๊มออกซิเจน เครื่องให้ยาชั่วคราว) โดยให้เทศบาลหรืออบต. เป็นผู้บริหารจัดการธนาคารอุปกรณ์ โดยเป็นผู้จัดซื้ออุปกรณ์ให้ประชาชนยืม หรือรับบริจาคจากประชาชนหรือภาคเอกชนที่ประสงค์จะสนับสนุนอุปกรณ์

ลาไปบอกลา - เพิ่มสิทธิวันลาดูแลพ่อ-แม่ที่ป่วยระยะสุดท้าย

ปัญหา
ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหรือเข้าไม่ถึงการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะปานกลาง ระยะยาว ระยะประคับประคอง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะนี้อย่างมีคุณภาพ หากจะเข้าการรักษาก็ต้องเป็นภาระของบุตรหลานหรือญาติในการดูแล เนื่องในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชุนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการรักษาระยะปานกลาง ระยะยาว และระยะประคับประคอง
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ยังไม่เข้าถึงในสถานบริการแบบปฐมภูมิ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคองเข้าไม่ถึงการรักษาแบบประคับประคอง ที่จะทำให้ตัวเองไม่ทรมานจากความเจ็บปวดจากอาการป่วยระยะสุดท้าย นอกจากยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในการรักษาในระยะประคับประคอง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางก็มีจำนวนน้อยและไม่ได้มีเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพที่ดี อีกทั้งยังขาดโครงพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรักษาแบบประคับประคอง
 
นอกจากการรักษาแบบประคับประคอง สิทธิที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความเจ็บป่วยทางกายแบบรักษาไม่ได้ที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต
 
ข้อเสนอ
เพิ่มสวัสดิการวันลาสำหรับแรงงาน เพื่อดูแลพ่อแม่ที่ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยการเพิ่มไปในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

ตายดี - สิทธิยุติชีวิตตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี สำหรับคนที่ป่วยจากโรคทางกายที่รักษาไม่ได้

ปัญหา
ปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหรือเข้าไม่ถึงการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะปานกลาง ระยะยาว ระยะประคับประคอง ทำให้ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแล ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่สามารถพึ่งพาตัวเอง ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาในระยะนี้อย่างมีคุณภาพ หากจะเข้าการรักษาก็ต้องเป็นภาระของบุตรหลานหรือญาติในการดูแล เนื่องในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือชุมชุนยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรในการรักษาระยะปานกลาง ระยะยาว และระยะประคับประคอง
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาในระยะประคับประคอง (Palliative Care) ที่ยังไม่เข้าถึงในสถานบริการแบบปฐมภูมิ ทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือระยะประคับประคองเข้าไม่ถึงการรักษาแบบประคับประคอง ที่จะทำให้ตัวเองไม่ทรมานจากความเจ็บปวดจากอาการป่วยระยะสุดท้าย นอกจากยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถในการรักษาในระยะประคับประคอง เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ ส่วนแพทย์เฉพาะทางก็มีจำนวนน้อยและไม่ได้มีเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพที่ดี อีกทั้งยังขาดโครงพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับการรักษาแบบประคับประคอง
 
นอกจากการรักษาแบบประคับประคอง สิทธิที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีความเจ็บป่วยทางกายแบบรักษาไม่ได้ที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือการทำการุณยฆาตเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานก่อนเสียชีวิต
 
ข้อเสนอ
อนุญาตให้บุคคลที่ป่วยจากโรคทางกายที่รักษาไม่ได้ มีสิทธิเข้าสู่กระบวนการยุติชีวิตตนเองอย่างมีศักดิ์ศรีโดยความช่วยเหลือจากแพทย์ โดยผู้ทำต้องมีสติและได้รับการรับรองโดยจิตแพทย์ว่าไม่มีอาการป่วยทางสุขภาพจิต

ลดชั่วโมงการทำงานบุคลากรทางการแพทย์

ปัญหา
ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงการทำงานที่สูงเกินไป อย่างเช่นแพทย์ ต้องทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาการทำงานที่มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถต่อการให้บริการกับประชาชน เช่น ความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรค การทำหัตถการ ทำให้ประชาชนอยู่ในความเสี่ยงในการรักษาที่ผิดพลาด
 
ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีชั่วโมงการทำงานสูง แต่ค่าตอบแทนนอกเวลากลับได้รับอย่างไม่เหมาะสม และบางกรณีก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนนอกเวลา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หมดกำลังใจในการทำงานในระบบสาธารณสุขของรัฐ และนำไปสู่การลาออกเข้าไปอยู่ในระบบเอกชนที่ผลตอบแทนดีกว่า (กรณีแพทย์ลาออกปีละ 500 - 600 คน)
 
นอกจากนั้น บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับการกู้ชีพฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มาจากอาสาสมัครตามมูลนิธิต่าง ๆ ซึ่งการดำเนินงานไม่ได้มีระบบและหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ หรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาในด้าน paramedic และยังไม่ได้รับการกำกับดูแลด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานจากภาครัฐ เพราะว่าอาสาสมัครเหล่านี้ถือเป็นคนแรกที่เข้าไปในที่เกิดเหตุ อีกทั้งหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบุคลากรด้านการกู้ชีพฉุกเฉินไม่เพียงพอ
 
ข้อเสนอ
 
  • กำหนดชั่วโมงการทำงานของแพทย์ไม่เกิน 60 ชั่วโมง/สัปดาห์
  • กำหนดให้ได้พัก 8 ชั่วโมง หลังจากทำงานมาแล้วติดกัน 24 ชั่วโมง
  • กำหนดให้ได้พัก หากทำงาน 24.00-08.00 น. (เวรดึก)
  • ควบคุมมาตรฐานที่พักบุคลากรทางการแพทย์ (ปลอดภัย อยู่ในรั้วโรงพยาบาล)
  • ลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์ (เช่น เอกสารที่ไม่จำเป็น)
  • เปิดข้อมูลการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการจัดตารางการทำงานที่เหมาะสม และเพื่อการตรวจสอบ

ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์เป็นธรรม

ปัญหา
ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงการทำงานที่สูงเกินไป อย่างเช่นแพทย์ ต้องทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาการทำงานที่มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถต่อการให้บริการกับประชาชน เช่น ความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรค การทำหัตถการ ทำให้ประชาชนอยู่ในความเสี่ยงในการรักษาที่ผิดพลาด
 
ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีชั่วโมงการทำงานสูง แต่ค่าตอบแทนนอกเวลากลับได้รับอย่างไม่เหมาะสม และบางกรณีก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนนอกเวลา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หมดกำลังใจในการทำงานในระบบสาธารณสุขของรัฐ และนำไปสู่การลาออกเข้าไปอยู่ในระบบเอกชนที่ผลตอบแทนดีกว่า (กรณีแพทย์ลาออกปีละ 500 - 600 คน)
 
นอกจากนั้น บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับการกู้ชีพฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มาจากอาสาสมัครตามมูลนิธิต่าง ๆ ซึ่งการดำเนินงานไม่ได้มีระบบและหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ หรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาในด้าน paramedic และยังไม่ได้รับการกำกับดูแลด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานจากภาครัฐ เพราะว่าอาสาสมัครเหล่านี้ถือเป็นคนแรกที่เข้าไปในที่เกิดเหตุ อีกทั้งหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบุคลากรด้านการกู้ชีพฉุกเฉินไม่เพียงพอ
 
ข้อเสนอ
ปรับอัตราค่าตอบแทนสำหรับการทำงานในช่วงนอกเวลา
วางเกณฑ์ที่คำนึงถึงหลัก “ทำมากได้มาก” - ค่าตอบแทนแปรผันตามชิ้นงาน

พัฒนา อสม. เฉพาะทาง

ปัญหา
ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงการทำงานที่สูงเกินไป อย่างเช่นแพทย์ ต้องทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาการทำงานที่มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถต่อการให้บริการกับประชาชน เช่น ความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรค การทำหัตถการ ทำให้ประชาชนอยู่ในความเสี่ยงในการรักษาที่ผิดพลาด
 
ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีชั่วโมงการทำงานสูง แต่ค่าตอบแทนนอกเวลากลับได้รับอย่างไม่เหมาะสม และบางกรณีก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนนอกเวลา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หมดกำลังใจในการทำงานในระบบสาธารณสุขของรัฐ และนำไปสู่การลาออกเข้าไปอยู่ในระบบเอกชนที่ผลตอบแทนดีกว่า (กรณีแพทย์ลาออกปีละ 500 - 600 คน)
 
นอกจากนั้น บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับการกู้ชีพฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มาจากอาสาสมัครตามมูลนิธิต่าง ๆ ซึ่งการดำเนินงานไม่ได้มีระบบและหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ หรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาในด้าน paramedic และยังไม่ได้รับการกำกับดูแลด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานจากภาครัฐ เพราะว่าอาสาสมัครเหล่านี้ถือเป็นคนแรกที่เข้าไปในที่เกิดเหตุ อีกทั้งหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบุคลากรด้านการกู้ชีพฉุกเฉินไม่เพียงพอ
 
ข้อเสนอ
 
  • พัฒนาระบบแนวหน้าสุขภาพ (ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพแบบเฉพาะงาน) โดยการจ้างงานแบบ part-time ให้ค่าตอบแทนตามชิ้นงาน (เช่น นักโภชนาการ นักจิตวิทยา นักกายภาพบำบัด นักรังสีวิทยา นักพยาธิวิทยา) และแนวหน้าสุขภาพท้องถิ่น (หรือ Local Health Vanguard) ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก อสม. ผ่านการฝึกอบรมและได้รับมาตรฐาน เพื่อช่วยภารกิจต่างๆ ของระบบสุขภาพในชุมชน
  • จัดระบบผลตอบแทนที่เป็นธรรมตามรายชิ้นงาน-ตามผลงาน (ไม่ใช่เงินเดือน แต่จูงใจ/มั่นคงพอที่จะดำเนินการ เป็นอาชีพได้)

เปลี่ยนอาสากู้ชีพเป็นอาชีพ มีทุนพัฒนาทักษะ-สวัสดิการ

ปัญหา
ปัจจุบัน บุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงการทำงานที่สูงเกินไป อย่างเช่นแพทย์ ต้องทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 14 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลาการทำงานที่มากเกินไปส่งผลต่อความสามารถต่อการให้บริการกับประชาชน เช่น ความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรค การทำหัตถการ ทำให้ประชาชนอยู่ในความเสี่ยงในการรักษาที่ผิดพลาด
 
ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีชั่วโมงการทำงานสูง แต่ค่าตอบแทนนอกเวลากลับได้รับอย่างไม่เหมาะสม และบางกรณีก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนนอกเวลา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์หมดกำลังใจในการทำงานในระบบสาธารณสุขของรัฐ และนำไปสู่การลาออกเข้าไปอยู่ในระบบเอกชนที่ผลตอบแทนดีกว่า (กรณีแพทย์ลาออกปีละ 500 - 600 คน)
 
นอกจากนั้น บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับการกู้ชีพฉุกเฉิน ส่วนใหญ่มาจากอาสาสมัครตามมูลนิธิต่าง ๆ ซึ่งการดำเนินงานไม่ได้มีระบบและหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานทางวิชาการ หรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาในด้าน paramedic และยังไม่ได้รับการกำกับดูแลด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานจากภาครัฐ เพราะว่าอาสาสมัครเหล่านี้ถือเป็นคนแรกที่เข้าไปในที่เกิดเหตุ อีกทั้งหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบุคลากรด้านการกู้ชีพฉุกเฉินไม่เพียงพอ
 
ข้อเสนอ
 
  • เพิ่มศักยภาพของระบบอาสากู้ชีพให้ได้รับประกาศนียบัตรเฉพาะด้าน
  • ตั้งเป้าให้มี Paramedic หรือนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์
  • ระดับปริญญาตรี อย่างน้อยทุกตำบล
  • ระดับประกาศนียบัตร อย่างน้อย 1 คน ในทุกทีมอาสากู้ชีพ
  • ภาครัฐอุดหนุนเงินให้กับมูลนิธิเพื่อเป็นทุนการศึกษาด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้กับอาสาสมัคร
  • เพิ่มงบประมาณ/ข้อกำหนดของท้องถิ่นในการจ้างนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ในรูปแบบต่างๆ ที่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและมั่นคง (เช่น จ้างเป็นบุคลากรประจำ จ้างเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่) โดยมีข้อตกลงการปฏิบัติงานชัดเจน
ข่าว/บทความล่าสุด
เนื้อหาอ่านล่าสุด