หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ล้วนกล่าวว่าเป็นคำถามที่สำคัญ คำตอบคือไม่มีใครรู้
เพื่อหาคำตอบเหล่านี้ EPA เชิญคณะผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงจากภายนอกร่วมหารือ และจะเริ่มทำงานเดือน กุมภาพันธ์ 2005 แต่ในระหว่างนี้ สารเคมีตัวนี้ ซึ่งมีความคงตัว ยังคงสะสมพอกพูนทั่วไปในสิ่งแวดล้อม และในร่างกายของมนุษย์เรา
Dr.Tim Kropp นักพิษวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ อาวุโส ของกลุ่มเฝ้าระวังซึ่งเป็นคณะทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อม พบว่า สถานการณ์น่าสะพรึงกลัวได้มาถึงแล้ว
“สารเคมีดังกล่าวพบว่าไม่มีการสลายตัวเลย เป็นสารสังเคราะห์ที่ความคงตัวมากที่สุดที่เรารู้สึก และอยู่ในร่างกายเราต้องใช้เวลาถึง 20 ปี จึงจะสามารถขจัดหมดไปได้ 99% แล้วคุณต้องไม่รับสารตัวนี้เข้าร่างกายอีก แต่คุณคงจะยังได้รับสารเคมีนี้ต่อไป” Dr.Kropp กล่าว
สารเคมีนี้เรียกว่า PFDA บางครั้งเรียกว่า C-8 ใช้ทำ Toflon (ซึ่งผลิตโดยบริษัท Dupont) และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก บริษัท Dupont กล่าวปกป้องว่า PFDA ถูกใช้เฉพาะขณะอยู่ในกระบวนการผลิต และไม่ปรากฏสารนี้พบอยู่ในเครื่องครัว Teflon หรือ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
สาร PFDA หลุดเข้าสู่สิ่งแวดล้อมขณะอยู่ในกระบวนการผลิตหรือจริง ๆ แล้ว EPA และบริษัท Dupont กำลังทะเลาะกันถึงเงินเป็นล้าน ๆ เหรียญ อันเป็นค่าปรับที่ประเมินโดย EPA ด้วยข้อกล่าวหาว่า Dupont รายงานล่าช้าเรื่องข้อมูล PFDA
“ประชาชนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงงานผลิต PFDA ก็มีสาร PFDA ในเลือดเช่นกัน เรื่องนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร และก่อปัญหาต่อสุขภาพอย่างไร จึงเป็นความลี้ลับ” กล่าวให้ความเห็นโดย Dr.Jenifer Seed หัวหน้าแผนกการป้องกันมลภาวะและสารพิษ ซึ่งอยู่ในแผนกประเมินความเสี่ยงของสารเคมีที่มีอยู่ กล่าวให้ความเห็นว่า
“PFDA พบในเลือดของประชาชนทั้งในและนอกประเทศอเมริกา พบแม้กระทั่งในสัตว์ป่า ในจุดที่เราก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันเข้าไปได้อย่างไร ดูน่ากลัวมาก ข้อมูลจากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า PFDA สามารถก่อมะเร็งได้ มันทำลายตับ เด็กที่เกิดมาก็พิการ ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สัตว์ทดลองพวกหนู และลิงตายได้ เหล่านี้ดูว่าเป็นอันตรายที่รอเราอยู่ ปัญหาสำคัญ คือ มันเชื่อมโยงกับมนุษย์ได้อย่างไร ซึ่งเรากำลังเกาะติดสถานการณ์อยู่แล้ว”
PFDA เป็นอันตรายต่อมนุษย์ หรือไม่
พบว่าคนงานชายที่ทำงานเกี่ยวโยงกับ PFDA มีระดับ PFDA ในเลือดสูงขึ้นกว่าคนอื่น และจะมีระดับ Cholesterol ในเลือดสูงกว่าด้วย แต่หัวหน้าฝ่ายการแพทย์ของบริษัท Dopont นายแพทย์ Sol Sax กล่าวปกป้องว่าการศึกษาวิจัยนี้ไม่พบความเกี่ยวโยงโดยตรงของPFDA ต่อผลเสียทางสุขภาพแต่อย่างไร
นายแพทย์ Sax กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของ PFDA กับการเพิ่มขึ้นของระดับ Cholesterol และผลเสียอื่น ๆ ที่พบในคนงานอุตสาหกรรม ได้รับสาร PFDA ที่มีปริมาณน้อย ๆ เขาคิดว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กัน” แต่ Dr.Kropp กลับมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ดังนี้ คือ
ระดับ Cholesterol ไม่อาจโยงถึงได้ในประชาชนส่วนมาก เพราะ ระดับ PFDA ที่พบต่ำว่าที่พบในคนงาน แต่ระดับ PFDA ในเลือดของคนงานและประชาชนทั่วไป เหลื่อมกับซ้อนกันอยู่ถ้าคนที่ได้รับสาร PFDA สามารถทำให้ Cholesterol เพิ่ม 10% และคนที่ได้รับสาร PFDA ไม่มาก ทำให้ Cholesterol เพิ่มแค่ 5% (แต่คงไม่มีใครอยากได้ 5% ที่เพิ่มขึ้น) เพียงแต่คนงานมีระดับ PFDA สูงกว่า ไม่ได้หมายความว่าถ้าระดับ PFDA ในเลือดต่ำกว่า จะส่งผลต่อ Cholesterol
Dr.Seed กล่าวว่าคงไม่มีใครกล้าพูดได้อย่างมั่นใจว่า PFDA ไม่เป็นอันตรายหรือก่อความเสียหายต่อร่างกาย Dr.Seed กล่าวต่อว่า PFDA ไม่ดีแน่นอนสำหรับลิงและหนู ก็เหมือนยารักษาโรค คือ ขนาดหรือปริมาณเป็นตัวกำหนด ถ้าคุณดื่มน้ำมากเกินไปหรือกินยาธัยรอยด์มากเกินขนาด ก็ไม่เป็นผลดีแน่นอน
สาร PFDA เป็นอันตรายต่อลิง เมื่อถึงระดับหนึ่ง แต่เรายังไม่รู้ว่าระดับนั้นสูงเท่าไร จึงเริ่มเป็นอันตรายในมนุษย์ เพื่อค้นหาความจริงเรื่องนี้ EPA เชิญคณะผู้เชี่ยวชาญ 17 คน มาประชุมในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 นี้ เพื่อให้ความสนใจต่อปัญหา PFDA
Dr.Seed กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีปัญหาเรื่อง PFDA สารเคมีตัวหนึ่งที่คล้ายกับ PFDA เรียกว่า PFOS , บริษัท 3M ได้ใช้สารตัวนี้ทำ Scotchgard และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 หลังจากได้เจรจากับ EDA บริษัท 3M ก็ค่อย ๆ ถอนตัว สารเคมี PFOS นี้ออกไป
แปลและเรียบเรียงโดย น.พ.กิตติ ตระกูลรัตนาวงศ์
อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ร.พ.วิภาวดี